Monday, June 17, 2013

ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา
ตั้งแต่ความตกลง TIRPs ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมโลก ประเภท
ของทรัพย์สินทางปัญญาก็ต้องหลากหลายไปตามความตกลง TIRPs ส่วนที่ 2 ของความตกลง TIRPs ซึ่งมีชื่อว่า "มาตรฐานเกี่ยวกับการมี ขอบเขต และการใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา" จำแนกทรัพย์สินทางปัญญาออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

  1. ลิขสิทธิ์ และสิทธิเกี่ยวเนื่อง
  2. เครื่องหมายการค้า
  3. สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
  4. การออกแบบอุตสาหกรรม
  5. สิทธิบัตร
  6. การออกแบบผังภูมิ (ภูมิสภาพ) ของวงจรรวม
  7. การคุ้มครองข้อสนเทศที่ไม่เปิดเผย
ปัจจุบันประเทศไทยได้ตรากฎหมายเกี่ยวกับ ทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นจำนวนหนึ่งซึ่งจะได้ ขยายความรายละเอียดในบทต่อ ๆ ไป นอกเหนือจากความตกลง TIRPs ประเทศไทยเป็นภาคีเพียงอนุสัญญาเบิร์นเพื่อคุ้มครองงานวรรรกรรมและศิลปกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ขณะนี้ประเทศไทยภาคยานุวัตรอนุสัญญาเบิร์นฉบับแก้ไขปรับปรุงที่กรุงปารีส ปี ค.ส. 1971 แต่ประเทศไทยยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการคุ้มครอง ทรัพยืสินทางอุตสากรรม เช่นเดียวกับที่ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีในความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับ ทรัพย์สินทางปัญญาฉบับใดอีกเลย ถึงกระนั้นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาปัจจุบันของไทยก็ได้รับรองมาตรฐานระหว่าง ประเทศอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อดุลยภาพในประโยชน์แห่งชาติและความร่วมมือระหว่างประเทศ พระราชบัญญัติสิทธิบัตรเครื่องหมายการค้าเป็นสิ่งยืนยันแนวทางนี้ เพระขระที่มีการร่างกฎหมายเหล่านี้ก็ยอมรับกฎดกณฑ์นี้ใช้กันอย่างกว้างขวาง โดยสมัครใจ
ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศสมาชิกของ WTO และเป็นประเทศกำลังพัฒนา การตรากฎหมายใหม่ตลอดจนการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สอดคล้องเป็นไปตามความตกลง TIRPs จะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000 ) ขณะที่เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000 ) กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งแก้ไขปรับปรุงและตราขึ้นเพื่อเป็นไปตามความตกลง TIRPs มีดังนี้
  1. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994)
  2. พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)
  3. พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)
  4. พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)
  5. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)
นอกเหนือจากกฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับ ซึ่งอยู่ในขั้น
ตอนกระบวนการทางนิติบัญญัติ คือ กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองความลับทางการค้า
ที่มา: กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
การเข้าเป็นภาคีในความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาก่อตั้งองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ตั้งแต่
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการคุ้มครอง ทรัพย์ทางปัญญาเพียง 2 ฉบับ แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่มีแขนงสาขาที่กว้างขวางก็ตาม

ประเทศไทยเข้าร่วมในประชาคมระหว่างประเทศในทางทรัพย์สินทางปัญญาครั้งแรกใน พ.ศ. 2474 (ค.ศ.1931) เมื่อประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาเบิร์นเพื่อคุ้มครองงานวรรณกรรมและ ศิลปกรรม ซึ่งแก้ไขและปรับปรุงที่กรุงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1908 เพื่ออนุวัตรการตามพันธกรณีจึงได้มีการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและ ศิลปกรรม พ.ศ 2474 ขึ้นในปีเดียวกันพันธกรณีของประเทศไทยที่มีอยู่ตามอนุสัญญาเบิร์นได้เปลี่ยน แปลงคั้งแรกใน พ.ศ. 2523 (ค.ศ 1980) เมื่อประเทศไทยได้เข้าผู้พันตามพิธีสารกรุปารีส ค.ส. 1971 ในบทบัญญัติด้านการบริหารเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2523 พันธกรณีของประเทศไทยตามอนุสัญญาเบิร์นได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 2 ในปี พ.ส. 2538 (ค.ส. 1995) เมื่อประเทศไทยได้ทำคำประกาศต่อองค์การทรัพย์สินทาปัญญาโลกว่าจะขยายผลของ ความผูกพันไปยังบทบัญญัติด้านสารบัญญัติ (มาตรา 1 ถึง 21) ของพิธีสารกรุงปารีส ค.ศ. 1971 การเข้าผูกพันมีผลสมบูรณ์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ทำให้ประเทศไทยต้องผูกพันเต็มที่ตามพิธิสารกรุงปารีส ค.ศ. 1971 ทั้งบทบัญญัติด้านสารบัญญัติ (มาตรา 1 ถึง 21 ) และบทบัญญัติด้านการบริหาร (มาตรการ 22 ถึง 38)
นอกเหนือจากอนุสัญญาเบิร์นซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศหลักเกี่ยวหับการ คุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศมีข้อน่าสังเกตว่าประเทศไทยไม่เคยเข้าเป็น ภาคีในความตงระหว่างประเทศใด แม้ว่าประเทศไทยจะตรากฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ต้องผูกพันตามความตกลงระหว่างประเทศใด ๆ ที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองแก่สิ่งที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทาง ปัญญา นอกจากความผูกพันตามอนุสัญญาเบิร์น ประทเศไทยเองก็ยังยอมรับหลักสากลและบทบัญญัติในความตกลงระหว่างประเทศบาง ฉบับ อนุสัญญาปารีสเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมมีอิทธิพลอย่างมากในการ ร่งกฎหมายคุ้มครองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของไทย กฎหมายเครื่องหมายการค้าปัจจุบันยอมรับการจำแนกสินค้าและบริการตามบทบัญญัติ ของความตกลงนีซเรื่องการจำแนกระหว่างประเทศซึ่งสินค้าและบริการระหว่าง ประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการจดทะเบียนเครื่องหมาย นอกจากอนุสัญญาเบิร์นแล้วยังมีความตกลง TIRPs ซึ่งประเทศไทยและประเทศส่วนใหญ่ในประชาคมโลกยอมรับและต้องบังคับตามพันธกรณี โดยการปรับปรุงและตรากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของตน
เนื่องจากการอนุวัตรการความตกลง TIRPs มีผลให้ต้องยอมรับความตกลงระหว่างประเทสเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทาง ปัญญาบางฉบับซึ่งอ้างถึงในคงามตกลง TIRPs ประเทศไทยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าเป็นภาคีในความตกลงระหว่าง ประเทศเฉพาะเรื่องเหล่านั้นถึงกระนั้นประเทสไทยก็ยังสนใจในการเข้าร่วมสนธิ สัญญาความร่วมมือทางด้านสิทธิบัตร (PCT) คณะกรรมมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทบทวนพระราชบัญญัติสิทธิบัตรมีความเห็น ว่าการเข้าเป็นภาคีจะเป็นประโยชน์กับผู้ประดิษฐ์ไทยในเรื่องของการจดทะเบียน ระหว่างประเทศ เนื่องจากการยื่นคำขอสามารถทำได้ในประเทศไทย และผู้ยื่นคำขอสามารถระบุประเทศซึ่งตนประสงค์จะได้รับความคุ้มครองได้หลาย ประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น การสือบค้นระหว่างประเทศจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นภายใต้ระบบดังกล่าว และผู้ยื่อนคำขอสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการแยกยื่นคำขอกับสำนักงาน สิทธิบัตรหลาย ๆ แห่ง ดังนั้น คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรจึงสรุปว่ารัฐบาลไทยควรดำเนินการเพื่อเข้าร่วม ในสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตรโดยเร็ว
มีบทเคราะห์ที่แสดงถึงประโยชน์ของการเข้าเป็นภาคีใน PCT จะเป็นคุณแก่ประเทศและผู้ประดิษฐ์ไทย คาดกันว่ารัฐบาลไทยจะมีท่าทีเดียวกันกับฝ่ายนิติบัญญัติและประเทศไทยจะเข้า เป็นภาคี PCT ในอีกไม่ช้านี้
ในเรื่องเครื่องหมายการค้า คาดกันว่าประเทศไทยจะเข้าร่วมในความตกลงระหว่างประเทศพระราชบัญญัติเครื่อง หมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 บัญญัติว่า ในกรณีที่ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการ คุ้มครองเครื่องหมายการค้า หากคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาหรือความ ตกลงระหว่างประเทศดังกล่าวจะถือว่าคำขอนั้นเป็นคำขอภายใต้พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า เข้าใจได้ว่าบทบัญญัตินี้เป้นการเตรียมการในการเข้าเป็นภาคีของความตกลง มาดริดเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศและพิธีสารตาม ความตกลงนั้น เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกันกับหลักการของความตกลงมาดริดในเรื่อง การยื่นคำขอระหว่างประเทศที่ว่าการจดทะเบียนประเทศสามารถทำได้หากเครื่อง หมายนั้นเป็นเครื่องหมายที่สามารถทำได้หากเครื่องหมายนั้นเป็นเครื่องหมาย ที่สามารถจดทะเบียนได้ภายในประเทศของผู้ยื่นคำขอ หรือเป็นเครื่องหมายที่สามารถจดทะเบียนได้ภายในประเทศหรือภายในภูมิภาคภาย ใต้พิธิสารมาดริด
 วิวัฒนาการของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ในระยะเวลากว่าหนึ่งร้อยปีมานี้ ได้มีการพัฒนาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อ
เนื่องในหลายแง่มุม ระบบการคุ้มครองนั้นได้มีการขยายความคุ้มครองไปยังสิ่งที่ได้รับการคุ้มครอง ในแต่ละสาขามากขึ้น มีทั้งการขยายแขนงของทรัพย์สินทางปัญญาเองและขยายขอบเขตของการคุ้มครอง พันธกรณีระหว่างประเทศเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาถูกกำหนดขึ้นภายใต้ ความตกลงระหว่างประเทศที่สำตัญฉบับหนึ่ง คือ TRIPs การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาถูกนำเข้ามาเกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์ของการค้า ระหว่างประเทศเพื่อเป็นหลักประกันการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพ
กฎหมาย ลิขสิทธิ์ดูเหมือนจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เห็นว่ามีการรวมสิ่งที่ ได้รับการคุ้มครองใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากงานดั้งเดิมเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง งานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีได้รับการยอมรับเพิ่มเตอมจากงานลิขสิทธิ์แบบ ดังเดิมซึ่งครอบคลุมเฉพาะงานพื้นฐานประเภทวรรรกรรมและศิลปกรรม กฎหมายลิขสิทธิ์ทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภายในประเทศยอมรับงานซึ่ง ไม่เพียงแต่เกิดจากปัญหาและความชำนาญของมนุษย์ แต่ยังรวมถึงงานที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีอีกด้วย ความตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น อนุสัญญาเบิร์นเพื่อคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ค.ศ. 1883 ซึ่งแก้ไขปรับปรุงหลายครั้ง จนกระทั้งปี ค.ศ 1971 ความตกลง TRIPs สนธิสัญญา WIPO ปี ค.ศ. 1996 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการยอมรับงานใหม่และทันสมัย เช่น งานภาพถ่าย งานภาพยนต์ งานโสตทัศนวัสดุ และล่าสุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตลอดจนฐานข้อมูล ถือเป็นสิ่งที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ลิขสิทธิ์ จึงมีความจำเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ได้รับการคุ้มครองใหม่ ๆ ตะเข้าสู่ระบบลิขสิทธิ์ในอนาคตตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มสาขาของทรัพย์สินทางปัญญา ในสมัยแรกของทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการยอมรับเพียง 2 แขนง คือ ลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินอุตสาหกรรม เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และการออกแบบ แขนงแรกปรากฎให้เห็นในอนุสัญญาเบิร์นเพื่อคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1886 ขณะที่แขนงที่สองปรากฎอยู่ภายใต้อนุสัญญาปารีสเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทาง อุตสาหกรรมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1883 หลังจากนั้นแขนงอื่น ๆ ของทรัพย์สินทางปัญญาก็เกิดตามมาภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศอีกหลายฉบับ อนุสัญญาโรมเพื่อคุ้มครองนักแสดง ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียง และองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพ ปี ค.ศ. 1961 บัญญัติให้ความคุ้มครองแก่สิทธิข้างเคียง อนุสัญญาวอชิงตันที่เกี่ยวกับวงจรจัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1989 เพื่อให้ความคุ้มครองในระดับระหว่างประเทศแก่การออกแบบผังภูมิวงจรรวมซึ่ง มีค่ามหาศาลในทางเศรษฐกิจกับสินค้าและบริการในยุคข้อมูลข่าวสาร ในปี ค.ศ. 1995 ความตกลง TRIPs ได้ให้ความกระจ่างแกปัญญาหาที่มีมาอยู่ช้านานเรื่องการมีลิขสิทธิ์ของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์และฐานข้อมูลองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ได้วางกฎเกณฑ์ในการให้ความคุ้มครองแก่โปรแกรมคอมพิวเตอร์และงานที่เกี่ยว ข้องในปี ค.ศ. 1996 แนวทางการพัฒนานี้จะดำเนินต่อไป หากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเรียกร้องให้มีการคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผลผลิต ทางปัญญาชนิดใหม่จากมีนสมองของมนุษย์
วิวัฒนาการของระบบทรัพย์สินทางปัญญาเป็นพยานที่แสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขต แห่งความคุ้มครอง ในแขนงของลิขสิทธิ์ สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการให้เช่าถูกบัญญัติขึ้นภายใต้ความตกลง TIRPs ขณะที่อนุสัญญาเบิร์นไม่ได้บัญญัติถึงประเด็นดังกล่าวไว้แต่อย่างใด นอกจากสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ความตกลง TIRPs ยังบัญญัติให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการให้เช่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานภาพยนต์ และสิ่งบันทึกเสียงอีกด้วย กลุ่มสมาชิกขององค์กรการค้าโลกซึ่งยอมรับผูกพันตามความตกลง TIRPs จึงมีพันธะกรณีในการตรากฎหมายภายในของตนให้สอดคล้องกับความตกลง TIRPs เกี่ยวกับความคุ้มครองชนิดใหม่นี้ในแขนงของสิทธิบัตร ความตกลง TIRPs ระบุเรื่องสิทธิแต่เพียงผู้เดียวไว้อย่างชัดแจ้ง ขณะที่อนุสัญญาปารีสเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมปล่อยให้การกำหนด เงื่อนไขดังกล่าวเป็นเรื่องกฎหมายภายในประเทศคู่สัญญา
พัฒนาการอีกอย่างหนึ่งของระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา คือ การรวมกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศทั้งหลายไว้ในความตกลงฉบับเดียวกัน แนวทางนี้ได้มีการกล่าวถึงในการเจรจา GATT รอบอุรุกวัยซึ่งปรากฏผลในความตกลง TIRPs กลยุทธของความตกลง TIRPs คือ ความตกลงนี้จะผูกพันประเทศสมาชิกของ WTO ให้ต้องยึดถือตามความตกลงระหว่างประเทศสำคัญที่มีอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งความ ตกลง TIRPs ได้อ้างตัวเป็นฐานแห่งการคุ้มครอง นอกจากนี้ความตกลง TIRPs เองยังสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นอีกด้วย ในเรื่องบรรดาความจกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้วนั้นความตกลง TIRPs มิได้แทนที่ความตกลงดังกล่าว แต่ทำหน้าที่เป็นส่วนเพิ่มเติมความตกลงนั้นเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ การคุ้มครองในระดับระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศสมาชิกของ WTO ซึ่งมิได้เป็นภาคีในความตกลงดังกล่าวจึงต้องผู้พันตามความตกลงเหล่านั้นโดย ทางเทคนิค โดยผ่านพันธกรณีที่กำหนดไว้ตามความตกลง TIRPs นั้นเอง
นอกจากนี้วิวัฒนาการที่เด่นชัดของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญายังเกี่ยวกับ การพึ่งพาซึ่งกันและกันในประเด็นเรื่องการค้าระหว่างประเทศและทรัพย์สินทาง ปัญญา การเจรจา GATT รอบอุรุกวัยวางสถานะไว้ว่า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวพันกันกับการค้าระหว่างประเทศเนืองจาก ขาดความคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพเพียงพอจะนำมาซึ่งการบิดเบือนทางการค้าความ เกี่ยวข้องขององค์ประกอบทั้งสองได้รับรองในความตกลง TIRPs ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทและการใช้ความตกลง GATT 1994 และถือว่าการบังคับทางการค้าเป็นสิ่งชอบด้วยกฎหมายที่จะปฏิบัติได้ หากประทศสมาชิกของ WTO ไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในการให้ความคุ้มครองเชื่อกันว่ากลไกนี้จะทำให้การ คุ้มครองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าวิธีการอย่างเดิมภายใต้บรรดาความตกลง ระหว่างประเทศที่มีอยู่ซึ่งมีสภาพบังคับที่อ่อนแอ
ขอบเขตและเขตอำนาจแห่งการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดย หลักการแล้ว การคุ้มครองคือการให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวแก่ผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญาได้แก่ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ฯลฯ สิทธิแต่เพียงผู้เดียวเป็นสิทธิในทางนิเสธที่จะทำให้ผู้อื่นจากการกระทำซึ่ง เป็นสิทธิแต่เพียวผู้เดียวที่กฎหมายบัญญัติให้แก่ผู้ทรงสิทธิผู้ซึ่งละเมิด สิทธิแต่เพียงผู้เดียวจะได้รับการลงโทษทางแพ่งหรือทางอาญาตามแต่ที่กำหนดไว้ ในกฎหมาย กฎหมายของบางประเทศมีการให้สิทธิพิเศษอย่างอื่นนอกเหนือจากสิทธิแต่เพียวผู้ เดียวอีกด้วย มีการยอมรับแนวความคิดเรื่องสิทธิข้างเคียงซึ่งเป็นสิทธิที่เกี่ยวเนื่องกับ ลิขสิทธิ์ซึ่งผู้ทรงสิทธิไม่มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว แต่มีสิทธิอย่างอื่นทีด้อยกว่า เช่น สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนเพื่อปกป้องประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของตน อย่างไรก็ตาม สิทธิข้างเคียงอาจครอบคุลทั้งสิทธิแต่เพียงผู้เดียวและสิทธิในการได้รับค่า ตอบแทน ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ของไทยบัญญัติว่า นอกจากสิทธิแต่เพียงผู้เดียวแล้วนักแสดงยังมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนจากผู้นำ สิ่งบันทึกเสียงซึ่งได้นำออกเผยแพร่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าแล้วหรือนำ เอาสำเนาของงานนั้นไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยตรง
ระบบลิขสิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบการประมวลกฎหมายมีบท บัญญัติให้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมสิทธิ หรือสิทธิของผู้สร้างสรรค์โดยเฉพาะเจาะจง สิทธิประเภทนี้ไม่ใช่ลิขสิทธิ์ เพราะสิทธินี้ให้แก่ผู้สร้างสรรค์ แม้ว่าผู้สร้างสรรคืนั้นจะไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ตามภายใต้หลักะรรมสิทธิ ผู้สร้างสรรค์มีสิทธิขอให้ระบุว่าตนเป็นผู้สร้างสรรค์ เมื่อผู้อื่นโฆษณางานของตน หรือมีสิทธิขอให้ยุติการดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงงานหากการนั้นจะทำให้ เกียรติคุณของผู้สร้างสรรคืต้องเสียหาย กฎหมายภายในของประเทศที่มีระบบของกฎหมายที่ต่างกันอาจมีความแตกต่างกันในการ ให้สิทธิเหล่านี้ภายใต้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาของตน ตัวอย่างเช่น ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณีจะไม่นับบัญญัติธรรมสิทธิไว้ภายใต้ขอบเขตของ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา แต่จะอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายอื่น ในทางกลับกันประเทศที่ใช้ระบบประมลกฎหมาย จะให้ความคุ้มครองแก่ผ๔สร้างสรรค์อย่างธรรมสิทธิในขอบเขตของกฎหมายทรัพยืส ินทางปัญญา
การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเริ่มต้นจากงานภายในประเทศเท่านั้น การจะได้มาซึ่งความคุ้มครองจะต้องมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นโดยเจาะจง เช่น สัญชาติ ถิ่นที่อยู่และสถานที่สร้างสรรค์ หรืองานโฆษณา ในยุคก่อนเข้าใจกันว่าผู้สร้างสรรค์ที่ได้รับความคุ้มครองโดยส่วนใหญ่แล้วต้องมีสัญชาติของประเทสนั้น การให้ความคุ้มครองโดยจำกัดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอสำหรับกลุ่มประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตผลงาน ดังนั้น จึงมีความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งการคุ้มครองโดยสะดวกขึ้น กลไกลหลัก คือการทำความตกลงทวิภาคี และพหุภาคีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาภายในภูมิภาคขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศหนึ่งจะได้รับการคุ้มครองในประเทศข้งเคียงอื่น ๆ ด้วยอย่างมรประสิทธิภาพ วิธีนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยดี และได้มีการนำไปใช้ในระดับสากลที่สุด
กลุ่มประเทศในภาคพื้นต่าง ๆ ได้ทำความตกลงระหว่างประเทศขึ้น เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความคุ้มครองให้ กว้างขวางยิ่งขึ้น อนุสัญญากรุงปารีสเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (ค.ศ. 1883) เป็นความตกลงระหว่างประเทศฉบับแรกที่เปิดยุคใหม่ของการคุ้มครองทรัพย์สินทาง ปัญญาระหว่างประเทศ ต่อมามีความตกลงระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันตามมาเป็นลำดับ รวมทั้งอนุสัญญาเบิร์นเพื่อคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม (ค.ศ 1886) อนุสัญญาโรมเพื่อคุ้มครองนักแสดง ผู้ผลิตสื่อบันทึกเสียง และองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพ (ค.ศ. 1961) สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (ค.ศ.1970) อนุสัญญาวอชิงตันว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับวงจรรวม (ค.ศ. 1989) ความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการค้า หรือ Trade - Related Aspects of Intellectual Property Rights, Including Trade in Counterfeit Goods (TRIPs) ซึ่งทำขึ้นในปี ค.ศ. 1995 สนธิสัญญาลิขสิทธิ์ WIPO (ค.ศ. 1990) และสนธิสัญญาเกี่ยวกับการแสดงและสิ่งบันทึกเสียง WIPO (ค.ศ.196) ตลอดจนความตกลงอื่น ๆ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการยกร่าง
เหตุผลในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ระบบของทรัพย์สินทางปัญญาให้ความคุ้มครองที่กว้างขวาง ผู้ทรงสิทธิสามารถใช้การเยียวยาความเสียหายได้ในทางแพ่ง หรือใช้กระบวนการทางอาญา หรือมาตรการทางบริหารที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันได้ ในกระบวนการทางการแพ่งนั้นผุ้ทรงสิทธิสามารถเรียกร้องให้มีการเยียวยาทางการ เงิน เช่น ค่าเสียหาย หรือเรียกให้ผู้ละเมิดกระทำการ หรือละเว้นการกระทำ อาทิ ให้หยุดแจกจ่ายสินค้าที่ละเมิด การดำเนินคดีทางอาญาเป็นการที่โจทก์เรียกร้องให้ลงโทษทางอาญาแก่จำเลย เช่น จำคุก หรือปรับ ในบางระบบกฎหมายอาจบัญญัติให้มีมาตรการทางบริหารเพื่อป้องกันความเสียหายที่ อาจเกิดขึ้นได้ หรือเพื่อแก้ไขขั้นตอนที่ผิดพลาดได้ เช่น การเพิกถอนการจดทะเบียนเป็นต้น
การคุ้มครองตามกฎหมายเกิดจากแนวความคิดในเรื่องความยุติธรรมตามธรรมชาติและผล
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจของบุคคล เป็นที่ยอมรับกันว่าผู้สร้างสรรค์งานเป็นผู้มีสิทธิ์โดยชอบที่จะได้ประโยชน์ จากความอุตสาหของตน ในทางกลับกันผู้ซึ่งเก็บเกี่ยวจากสิ่งซึ่งไม่ใช่ผลอันเกิดจากแรงงานของตนจะ ต้องรับผิดต่อผู้ทรงสิทธิ การมใช้โดยผู้ละเมิดถือว่าเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่ผู้ทรงสิทธิ เนื่องจากผู้ทรงสิทธิไม่ได้รับค่าตอบแทนซึ่งเขาควรจะได้รับจากการใช้โดยมิ ได้รับอนุญาต ภายใต้หลักความเสี่ยงธรรม ระบบการคุ้มครองถูกบัญญัติขึ้นเพื่อให้ผู้ละเมิดที่มิได้รับอนุญาตต้องจ่าย ค่าทดแทนแก่ผู้ทรงสิทธิในการละเมิด ตามแนวคิดนี้วัตถุประสงค์ดั้งเดิมของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามุ่งสนับ สนุนการสร้างสรรค์และให้ความยุติธรรมแก่บุคคลผู้สมควร ในเวลานั้นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเพียงประเด็นภายในประเทศ ผลกระทบที่ใช้นำมาพิจารณาและมาตรการเยี่ยวยาความเสียหายโดยส่วนใหญ่เกี่ยว ข้องกับประโยชน์ของบุคคลทั้งนี้ ไม่ได้คำนึงถึงประเด็นในระดับชาติหรือสากลแต่อย่างใด
ในยุคสมัยต่อมา เห็นว่ามีความเกี่ยวพันกันระหว่างการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและประโยชน์ ของชาติ ประเด็นของทรัพย์สินทางปัญญานำมาเกี่ยวกับประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ ค้า เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญาเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของสินค้าและบริการ ฉะนั้น การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่เพียงพออาจเพิ่มขอบการแข่งขันนอกกฎหมาย และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับสินค้าคู่แข่ง เพราะไม่ได้รวมค่าวิจัยและพัฒนาสินค้าและบริการนั้น สถานการณ์นี้จึงถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุแห่งการบิดเบือนทางการค้า ประเทศซึ่งเผชิยหน้าหรือกำลังเผชิญหน้ากับผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงร้องขอ ประเทศคู่ค้าของตนในการให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประมี ประสิทธิภาพและเพียงพอ มิฉะนั้นจะมีมาตรการตอบโต้ทางการค้าตอบแทน มาตรการกระทำโดยฝ่ายเดียวและตามความสมัครใจ แต่ก็ได้ผลในบางกรณีเนื่องจากยังไม่มีกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศซึ่งครอบคลุมถึง เรื่องนี้โดยตรง ประเทศผู้ส่งออกต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ในการส่งออกของตนกับผลกระทบ ทางสังคมและเศรษฐกิจในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อที่จะตัดสินใจวางนโยบายว่าจะพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศหรือ ไม่
ความสำเร็จในการก่อตั้งองค์กรการค้าโลก (WTO) เป็นพัฒนาการล่าสุดของกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศในการให้ความคุ้มครองทรัพย์สิน ทางปัญญา การเจรจาแกตต์ (GATT) รอบอุรุกวัยได้มีการบรรจุระเบียบวาระเรื่องการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ ทรัพย์สินทางปัญญา ประเด็นนี้ถูกเสนอโดยกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมซึ่งมีประโยชน์ในทางเศรษฐกิจมาก ในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา กลุ่มประเทศเหล่านี้ตระหนักว่ากฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพย์สิน ทางปัญญาในความตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากไม่มีมาตรการบังคับในกรณีที่ประเทศสมาชิกไม่สามารถปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์ได้ หากประเด็นในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวพันกับประเด็นใน เรื่องการค้าระหว่างประเทศโดยการนำเอากระบวนการระงับข้อพิพาทมาใช้การคุ้ม ครองทรัพยืสินทางปัญญาในระดับโลกก็จะเป็นจริง เนื่องจากเศรษฐกิจของแต่ละประเทศต่างก็ขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้าและบริการ การท้าทายกฎกณฑ์ระหว่างประเทศใหม่นี้อาจนำมาซึ่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ การส่งออกของประเทศ กลไกลใหม่ซึ่งผูกการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเข้ากับการค้าระหว่างประเทศ คือ ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า หรือ TRIPs ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ในส่วนอารัมภบทของ TRIPs สะท้อนให้เห็นความเกี่ยวพันนี้ว่า
"ปรารถนาที่จะลดการบิดเบือนและอุปสรรคที่มีต่อการค้าระหว่างประเทศและคำนึง ถึงความจำเป็นที่จะส่งเสริมให้มใการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอย่าง มีประสิทธิภาพและเพียงพอ และเพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการและขั้นตอนการบังคับสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้าโดยชอบ…"
ดังนั้น เหตุในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจึงมีการพัฒนาขึ้น การคุ้มครองซึ่งเดิมเห็น ว่าเป็นการสนับสนุนการสร้างสรรค์ทางปัญญา และตระหนักถึงความเป็นธรรมตามธรรมชาติของบุคคล ในเวลาต่อมาการคุ้มครองถูกปรับขยายขึ้นโดยผลประโญชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ เพื่อให้หลุดรอดจากการกระทำโดยฝ่ายเดียวที่กำหนดโดยประเทศคู่ค้า ในที่สุดการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาก็ถูกยกขึ้นไปสู่ระดับระหว่างประเทศโดยสมบูรณ์เมือ่ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการคุ้มครองในขั้นนี้ไม่ใช่มีเพียงเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสรรค์ทางปัญญาและปกป้องผลประโยชน์ของบุคคลอีกต่อไป แต่ยังเพื่อทำให้เศรษฐกิจของชาติมั่นคงขึ้นซึ่งการนี้ผู้ที่ถูกกระทบไม่ใช่เป็นเพียงบุคคลธรรมดาเท่านั้น แต่คือประเทศชาติโดยรวมนั้นเอง
แนวคิดของทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพย์สินทางปัญญาในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง “การสร้างสรรค์ทางปัญญาของมนุษย์ซึ่งแสดงออกในรูปแบบใดก็ตาม” ทรัพย์สินทางปัญญานี้อาจเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความคิด แนวคิด กรรมวิธี หรือทฤษฎี ทรัพย์สินทางปัญญายังอาจปรากฏในรูปแบบที่จับต้องได้ เช่นการประดิษฐ์ สินค้า หรือสื่อรูปแบบอื่นที่จับต้องได้ นอกจากนี้ “ทรัพย์สินทางปัญญายังอาจรวมถึงความรู้ การค้นพบ หรือการสร้างสรรค์” อีกด้วย จะเห็นได้ว่า ความหมายอย่างกว้างของทรัพย์สินทางปัญญานี้เน้นที่ผลผลิตของสถิตปัญญาและความชำนาญของมนุษย์ โดยไม่ได้คำนึงถึงชนิดของการสร้างสรรค์หรือวิธีการสร้างสรรค์หรือวิธีการในการแสดงออกแต่อย่างใด
ทรัพย์สินทางปัญญาในความหมายอย่างแคบนั้นถูก นิยามขึ้นเพื่อสนองตอบนโยบาย ทรัพย์สินทางปัญญาจะถูกจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามผลผลิตทางปัญญา ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ นโยบายของรัฐ ประโยชน์ในทางสังคมและเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ ทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเภทมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดรับรอง และให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกัน นโยบายของรัฐเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแต่ ละประเภท บัญญติไว้ภายใต้กฏหมายไม่ว่าจะเป็นกฏหมายที่บัญญติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือกฏหมายจารีตประเพณี ตามแต่ระบบกฎหมายของประเทศนั้น ๆ จะเห็นได้ว่าความหมายอย่างแคบของทรัพย์สินทางปัญญานี้กำจัดอยู่ที่การสร้าง สรรค์ของมนุษย์ที่กฏหมายรับรองไว้เท่านั้น
ทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้เสมอ ซึ่งถือเป็นสิทธิในทรัพย์สินนั้นเองสิทธิในทางทรัพย์สินนี้ถูกจัดว่าเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิในทรัพย์สิน เนื่องจากผลทางปัญญาเป็นผลโดยตรงมาจากกำลังที่ทุ่มเททั้งหมดซึ่งสามารถประเมินค่าในทางเศรษฐกิจได้ ไม่ว่ากำลังนั้นจะเป็นการลงทุนทางการเงิน แรงงาน เวลา ฯลฯ
ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิทั้งหลายซึ่งให้แก่บุคคลที่มีคุณสมบัติเฉพาะตาม ที่กฏหมายบัญญติไว้ อธิบายอย่างง่าย ๆ ได้ว่า ทรัพย์สินทางปัญญานั้นเป็นสิทธิต่าง ๆ แต่เพียงผู้เดียวที่ผู้สร้างสรรค์จะกระทำการบางอย่างเกี่ยวกับงานสร้างสรรค์ ของตน ในทางทฤษฎี ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิ ในการป้องกันมิให้ผู้อื่นมากระทำการใด ๆ อันเป็นสิทธิของผู้สร้างสรรค์แก่งานสร้างสรรค์ รวมตลอดถึงสิทธิในการบังคับสิทธิตามกฎหมายแกผู้ละเมิดสิทธิของผู้สร้างสรรค์ ด้วยแนวความคิดนี้มีความสำคัญมากเพราะจะต้องใช้ในการให้คำตอบว่าผู้ทรงสิทธิ กระทำอย่างไรบ้างต่องานสร้างสรรค์ทางปัญญาของตน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิกระทำการอย่างไรบ้างต่อบุคคลซึ่งละเมิดสิทธิของตน เป็นสิ่งสำคัญมาก มิฉะนั้นระบบของทรัพย์สินทางปัญญาก็จะประสบความล้มเหลว
นอกจากสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้สร้างสรรค์แล้ว ระบบกฎหมายอาจให้สิทธิคนอื่น ๆ ในทางทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย ในบางประเทศกฎหมายอาจบัญญัติให้สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนและธรรมสิทธิ สิทธิประเภทแรก คือ สิทธิของผู้ทรงสิทธิในการได้รับค่าตอบแทนในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาที่นอก เหนือจากสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต สิทธินี้ไดรับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของสิทธินักแสดง ส่วนสิทธิประเภทหลังนั้น ผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์ธรรมสิทธิในการขอให้ชื่อของตนเองปรากฎในงาน ที่มีการโฆษณาหรือในการห้ามมิให้มีการดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงงานอันเป็นการเสียหายแก่เกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์
แม้ว่าทรัพย์สินทางปัญญาจะมีอยู่เมื่อผลผลิตทางปัญญาได้สร้างสรรค์ขึ้น แต่มีข้อสังเกตุว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้นแยกต่างหากจากกกรรมสิทธิ์ใน สื่อแห่งผลผลิตทางมรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิ์ในหนังสือจะไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกันกับความเป็นเจ้าของหนังสือซึ่ง จับต้องได้สิทธิบัตรในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์แยกต่างหากจากความเป็นเจ้า ของเครื่องมือ เจ้าของหนังสือหรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ มีกรรมสิทธิ์ในการใช้หรือจัดการทรัพย์นั้นตามความประสงค์ แต่ไม่สามารถทำการใด ๆ ซึ่งละเมิดต่อสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้ทรงลิขสิทธิ์ หรือผู้ทรงสิทธิบัตร เจ้าของหนังสือไม่สามารถทำซ้ำหนังสือโดยปราศจากความยินยอมของเจ้าของ ลิขสิทธิ์ เนื่องจากบิทธิในการทำซ้ำเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิ์ ผู้ซื้อเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถผลิตเครื่องมือที่มีสิทธิบัตรได้ เพราะสิทธิในการผลิต กรรมวิธี หรือสินค้าที่ได้รับสิทธิบัตรเป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของผู้ทรงสิทธิบัตร หลักเกณฑ์ในการแยกต่างหากจากกันนี้ใช้กับทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท
กฎเกณฑ์นี้ยังใช้กับกรณีที่สื่อจับต้องได้ของทรัพย์สินทางปัญญา เช่น หนังสือ สิ่งบันทึกเสียง เครื่องมือที่ได้รับสิทธิบัตร สินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าอยู่ในความครอบครองของบุคคลเป็นระยะเวลานาน ระบบกฎหมายอาจทำให้บุคคลได้มาซึ่งสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งคือการครอบครองทรัพย์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เนื่องจากสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาแยกกต่างหากจากสิทธิในสื่อการแสดงออกการ ครอบครองสื่อซึ่งอาจจะทำให้ได้มาซึ่งอาจจะทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์นั้น ไม่ทำให้ผู้ครอบครองได้มาซึ่งในทรัพย์สินทางปัญญา
ความลับทางการค้า

      ความลับทางการค้า คือ ข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไปหรือยังเข้าถึงไม่ได้ในหมู่บุคคลซึ่งโดย
ปกติแล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว โดยเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ ประโยชน์ในทางการค้า เนื่องจากการ
เป็นความลับและเป็นข้อมูลที่เจ้าของหรือผู้มีหน้าที่ ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้วิธีการที่เหมาะสมรักษา
ไว้เป็นความลับ
       ข้อมูลการค้า จะเป็น สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้ถึง ข้อความ เรื่องราว ข้อเท็จจริงหรือสิ่งใด ไม่ว่าการสื่อความ
หมายนั้นจะผ่านวิธีการใด ๆ หรือจะจัดทำไว้ในรูปแบบใดก็ตาม นอกจากนี้ข้อมูลทางการค้ายังรวมไปถึง สูตร
รูปแบบ งานที่ได้รวบรวมหรือประกอบขึ้น โปรแกรม วิธีการเทคนิค หรือกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น สูตรยา สูตรอาหาร
สูตรเครื่องดื่ม สูตรเครื่องสำอาง กรรมวิธีการผลิต ข้อมลการบริหารธุรกิจ รายละเอียดเกี่ยวกับราคาสินค้า
กลยุทธ์การโฆษณาสินค้า หรือแม้กระทั่งบัญชีรายชื่อลูกค้าก็อาจเป็นข้อมูลทางการค้าได้เช่นกัน

ผู้ที่เป็นเจ้าของความลับทางการค้าจะต้องนำความลับทางการค้ามาจดทะเบียนหรือไม่
      
ตามปกติแล้วความลับทางการค้าจะได้รับความคุ้มคอรงอยู่ตราบเท่าที่ยังเป็นความลับอยู่ เพราะฉะนั้น,
สิทธิของเจ้าของความลับทางการค้าจึงมีอยู่ตลอดไปหากความลับทางการค้านั้นยังไม่มีการเปิดเผย และความ
ลับทางการค้าจะได้รับความคุ้มครองโดยไม่ต้องมีการจดทะเบียนแต่อย่างใด เจ้าของความลับทางการค้า
สามารถเลือกที่จะแจ้งข้อมูลความลับทางการค้า คือเจ้าของความลับทางการค้าอาจนำความลับทางการค้า
ของตนมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินกับธนาคารได้
        ความลับทางการค้าเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอนให้แก่กันได้โดยทางมรดกหรือทางนิติกรรม นอกจากน
ี้เจ้าของความลับทางการค้ามีสิทธิที่จะเปิดเผยเอาไปหรือใช้ความลับทางการค้า หรืออนุญาตให้คนอื่นเปิดเผย
เอาไป หรือใช้ความลับทางการค้า โดยอาจจะกำหนดเงื่อนไขให้มีการรักษาความลับทางการค้านั้นต่อไปก็ได้
การละเมิดสิทธิ์ในความลับทางการค้า
      
การละเมิดสิทธิ์ในความลับทางการค้า คือ การกระทำที่เป็นการเปิดเผยหรือใช้ความลับทางการค้าของ
ผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของความลับทางการค้า ซึ่งมีลักษณะที่ขัดต่อแนวปฏิบัติในทางการค้า
โดยสุจริต และผู้ละเมิดต้องรู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าการกระทำนั้นขัดต่อแนวปฏิบัติดังกล่าว เช่น ลูกจ้างผิด
สัญญาว่าจะไม่เปิดเผยสูตรซึ่งเป็นความลับทางการค้าของนายจ้าง เป็นต้น
ข้อยกเว้นของการละเมิดสิทธิของเจ้าของความลับทางการค้า
1.การเปิดเผยหรือใช้ความลับทางการค้าโดยผู้ที่ได้ความลับทางการค้านั้นมาทางนิติกรรมไม่รู้ว่าคู่สัญญา
ได้ความลับทางการค้านั้นมาโดยทางละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าของผู้อื่น
2.  การเปิดเผยหรือใช้ความลับทางการค้าโดยหน่วยงานของรัฐที่ดูแลรักษาความลับทางการค้าเพื่อคุ้มครอง
สุขภาพอนามัยหรือความปลอดภัยของประชาชน
3.  การค้นพบความลับทางการค้าของผู้อื่นด้วยความรู้ ความชำนาญ ของผู้ค้นพบเอง
4.  การทำวิศวกรรมย้อนกลับ ซึ่งเป็นการค้นพบความลับทางการค้าของบุคคลอื่น โดยบุคคลนั้นได้นำผลิตภัณฑ์ซึ่ง
เป็นที่รู้จักกันทั่วไปมาศึกษา วิเคราะห์จนทราบวิธีการที่จะผลิต ผลิตภัณฑ์นั้นขึ้นมา
การแจ้งข้อมูลความลับทางการค้า
ผู้ที่ประสงค์จะแจ้งข้อมูลความลับทางการค้าจะต้องนำเอกสารและหลักฐานต่อไปนี้มายื่นประกอบการแจ้ง
ข้อมูลด้วย
1.  สำเนาคำขอแบบ ลค .01 จำนวน 1 ชุด
2.  หลักฐานยืนยันแสดงความเป็นเจ้าของความลับทางการค้า
3.  สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลของผู้ขอ
4.  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวอื่น ๆ ที่ทางราชการออกไป,
5.  สำเนาหนังสือมอบอำนาจและบัตรประจำตัวผู้รับมอบอำนาจ

การขอรับความคุ้มครองความลับทางการค้า
การยื่นคำขอแจ้งข้อมูล คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลง คำขอเพิกถอน คำขอตรวจค้น และคำขออื่นๆ ใช้แบบคำขอดังต่อไปนี้
1. คำขอแจ้งข้อมูลความลับทางการค้า ลค .01
2. คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลความลับทางการค้า ลค .02
3. คำขอเพิกถอนข้อมูลความลับทางการค้า ลค .03
4. คำขอรับใบแทนหนังสือรับรองความลับทางการค้า ลค .04
5. คำขอตรวจค้นข้อมูลความลับทางการค้า ลค .05
เอกสารประกอบการแจ้งข้อมูล
1. คำขอแจ้งข้อมูลตามแบบ ลค .01
2. หนังสือยืนยันแสดงความเป็นเจ้าของความลับทางการค้า
3. หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 30 บาท พร้อมบัตรประจำตัวของผู้รับมอบอำนาจ
( กรณีมอบให้ตัวแทนยื่นคำขอ )
4. เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ( ถ้ามี ) เช่น หนังสือรับรองนิติบุคคล กรณีที่นิติบุคคลเจ้าของความลับทางการค้า
5. ไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
กฎหมายที่คุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ . ศ .2546
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications) คืออะไร
ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่งภูมิศาสตร์ และที่สามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจาก
แหล่งภูมิศาสตร์นั้น เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ดังกล่าวหรือ
จะกล่าวโดยง่ายว่า คือ ชื่อภูมิศาสตร์หรือสัญลักษณ์ที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่งภูมิศาสตร์นั้น ที่ใช้ประกอบกับ
สินค้าเพื่อแสดงให้ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคได้ทราบถึงแหล่งกำเนิดของสินค้านั้น ซึ่งแหล่งกำเนิดนั้นมีความเชื่อม
โยงกับคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะพิเศษของสินค้านั้น
 ลักษณะของสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ขอรับความคุ้มครองได้
•  เป็นชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่งภูมิศาสตร์ และสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิด
จากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นมีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะ
•  สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์นั้นต้องมีความเชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ คือ พื้นที่ของประเทศ เขต ภูมิภาค
และท้องถิ่น และให้ความหมายรวมถึงทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำน้ำ เกาะ ภูเขา หรือพื้นที่อื่นทำนองเดียวกัน
•  ไม่เป็นชื่อสามัญที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งที่จะใช้สิ่งบ่งชี้ทาง
ภูมิศาสตร์นั้น
•  ไม่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือนโยบายแห่งรัฐ
•  กรณีเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศต้องปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าได้รับความคุ้มครองและมีการ
สืบเนื่องตลอดมาจนถึงวันที่ยื่นคำขอทะเบียนในประเทศ
ผู้มีสิทธิยื่นคำขอขึ้นทะเบียน
•  ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐ ที่เป็นนิติบุคคล
และมีเขตรับผิดชอบครอบคลุมบริเวณแหล่งภูมิศาสตร์ของสินค้า
•  บุคคลธรรมดา กลุ่มบุคคล หรือนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการค้าเกี่ยวข้องกับสินค้าที่ใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และม
ีถิ่นที่อยู่ในแหล่งภูมิศาสตร์ของสินค้า
•  กลุ่มผู้บริโภคหรือองค์กรผู้บริโภคสินค้าที่ใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
ผู้มีสิทธิใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ภายหลังได้รับการขึ้นทะเบียน
•  ผู้ผลิตสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ซึ่งอยู่ในแหล่งภูมิศาสตร์ของสินค้าดังกล่าว
•  ผู้ประกอบการค้าเกี่ยวกับสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์นั้น
การระงับใช้
       ในกรณีผู้มีสิทธิใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ต่อมานายทะเบียนมี
หนังสือแจ้งให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภายในกำหนด หากไม่ปฏิบัติตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรนายทะเบียน
อาจมีคำสั่งให้้ระงับใ้ช้เป็นระยะเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
อายุการคุ้มครอง
      
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะได้รับความคุ้มคอรงตลอดไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจน
กว่าจะมีการเพิกถอนทะเบียน เช่น สภาพทางภูมิศาสตร์ หรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปภายหลังการขึ้น
ทะเบียน เป็นต้น
เอกสารและหลักฐานที่ใช้ในการขอขึ้นทะเบียน
•  คำขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์พร้อมสำเนา จำนวน 2 ชุด
•  หลักฐานอื่นๆ ของผู้ขอ เช่น สำเนาบัตรประจำตัว หนังสือรับรองนิติบุคคล
•  สำเนาหนังสือมอบอำนาจ และสำเนาบัตรประจำตัวของผู้รับมอบอำนาจ ( ถ้ามี )
•  ภาพถ่ายของสินค้าที่ใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ขอขึ้นทะเบียน
•  ต้นฉบับ สำเนาหรือภาพถ่ายฉลากสินค้าที่ใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ขอขึ้นทะเบียน
เอกสารอื่น ๆ ได้แก่
• เอกสารยืนยันความมีคุณภาพ ชื่อเสียง คุณสมบัติหรือคุณลักษณะอื่นของสินค้า
• เอกสารยืนยันถึงความเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์
• ภาพถ่ายแผนที่แสดงขอบเขต พื้นที่ของแหล่งภูมิศาสตร์ที่ขอขึ้นทะเบียน
• เอกสารยืนยันว่าสินค้ามีแหล่งกำเนิดมาจากพื้นที่แหล่งภูมิศาสตร์
ค่าธรรมเนียม
• คำขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ฉบับละ 500 บาท
• คำคัดค้านการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ฉบับละ 500 บาท
• คำอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของนายทะเบียน ฉบับละ 500 บาท
• คำขอแก้ไขทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ฉบับละ 200 บาท
• คำขอเพิกถอนทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ฉบับละ 200 บาท
• คำขออื่นๆ ฉบับละ 200 บาท
แบบผังภูมิของวงจรรวม พ . ศ .2543
สิ่งที่กฎหมายฉบับนี้ให้ความคุ้มครอง
แบบผังภูมิ คือ แบบ แผนผัง หรือภาพที่ทำขึ้นไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบใดหรือวิธีใดเพื่อให้เห็นถึงการจัด
วางให้้เป็นวงจรรวม จากคำนิยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แบบของวงจรไฟฟ้าที่ได้ออกแบบขึ้นมา หรือที่
เรียกว่า Layout design และตัวชุดหน้ากากหรือแผ่นผัง (mark work) ซึ่งเป็นตัวต้นแบบที่ใช้ในการสร้าง
ให้เกิดแบบผังภูมิ ก็จัดว่าอยู่ในข่ายที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ด้วยเช่นกัน
เงื่อนไขของแบบผังภูมิที่จะนำมาขอรับความคุ้มครอง
1.จะต้องเป็นแบบผังภูมิที่ผู้ออกแบบได้สร้างสรรค์ขึ้นเองและไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในอุตสาหกรรม
วงจรรวม
2.เป็นแบบผังภูมิที่ผู้ออกแบบได้สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยนำเอาชิ้นส่วนส่วนเชื่อมต่อแบบผังภูมิหรือวงจร
รวมอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปมาจัดวางใหม่ ทำให้เกิดเป็นแบบผังภูมิใหม่
ผู้มีสิทธิขอรับความคุ้มครอง
1.ผู้ออกแบบ หรือผู้ออกแบบร่วม
2.พนักงานหรือลูกจ้างในกรณีที่เป็นการจ้างแรงงาน
3.ผู้ว่าจ้าง ในกรณีที่เป็นการจ้างทำของ
4.หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
5.ผู้รับโอนหรือรับมรดก
     กรณีที่สิทธิในการขอรับความคุ้มครองในแบบผังภูมิเป็นของบุคคลตาม (2) (3) และ (4) นั้น กฎหมาย
ได้กำหนดเพิ่มเติมไว้ว่าถ้ามีหนังสือตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นก็ให้เป็นไปตาม นั้น เช่น กรณีที่เป็นการจ้างแรงงาน ถ้านายจ้างกับลูกจ้างได้ทำหนังสือตกลงกันไว้ต่างหากว่าแบบผังภูมิที่ลูกจ้าง ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาให้สิทธิในการ
ขอรับความคุ้มครองตกเป็นของนายจ้าง ดังนี้ย่อมทำได้
 
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับความคุ้มครอง
1.  มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2.  มีสัญชาติของประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก
3.  มีภูมิลำเนาหรือสถานที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์แบบผังภูมิหรือการผลิตวงจรรวมในประเทศ
ไทยหรือประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก
ลักษณะของการคุ้มครอง
       
รูปแบบของการให้ความคุ้มครองแบบผังภูมิจะเหมือนกับการให้ ความคุ้มครองทางด้านสิทธิบัตร กล่าวคือ ใช้ระบบจดทะเบียน คือ ตรวจสอบแต่เฉพาะความถูกต้องของเอกสารและคุณสมบัติของผู้ขอรับความคุ้มครอง คำขอจดทะเบียนจะต้องมีรายการตามที่กฎหมายมาตรา 15 กำหนด เช่น ชื่อและที่อยู่ของผู้ออกแบบวันที่สร้าง
สรรค์แบบผังภูมิ ภาพวาดหรือภาพถ่ายลายเส้นที่แสดงแบบผังภูมิ หรือตัวอย่างของวรจรวมที่จะนำแบบผังภูม
ินั้นไปใช้
เงื่อนไขในการยื่นขอจดทะเบียน
1.  กรณีที่นำแบบผังภูมิออกหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์แล้วไม่ว่าภายในหรือภายนอก ประเทศ การยื่นขอจดทะเบียนแบบผังภูมิจะต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้นำแบบผังภูมินั้นออกหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก
2.  ในกรณีที่ไม่มีการนำแบบผังภูมิออกหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 15 ปี นับแต่วันที่สร้างสรรค์แบบผังภูมินั้นเสร็จสิ้น
อายุการคุ้มครอง
       
สำหรับระยะเวลาการให้ความคุ้มครอง กฎหมายกำหนดให้หนังสือสำคัญแบบผังภูมิมีอายุ 10 ปี นับแต่วัน
ยื่นขอจดทะเบียนหรือวันที่นำออกหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกแล้วแต่วันใดจะเกิดขึ้นก่อน แต่ระยะ
เวลาการให้ความคุ้มครองแบบผังภูมิต้องไม่เกิน 15 ปีนับแต่วันที่สร้างสรรค์แบบผังภูมิเสร็จดังนั้นหากล่วงพ้น
ระยะเวลา 15 ปี นับแต่วันสร้างสรรค์แบบผังภูมิเสร็จ ผู้สร้างสรรค์ก็ไม่สามารถนำแบบผังภูมิมาขอจดทะเบียนได้ แม้ว่าจะไม่เคยนำแบบผังภูมินั้นออกหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ก็ตาม
การสิ้นสุดการคุ้มครอง
1.  ผู้ทรงสิทธิขอคืนหนังสือสำคัญแบบผังภูมิ
2.  หนังสือสำคัญแบบผังภูมิสิ้นอายุการคุ้มครองตามข้อ 8
3.  ผู้ทรงสิทธิไม่ชำระค่าธรรมเนียมภายในระยะเวลาที่กำหนด
4.  ผู้ทรงสิทธิตายและไม่มีทายาท
5.  อธิบดีหรือคณะกรรมการได้มีคำสั่งหรือคำวินิจฉัย หรือศาลได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียน
 
ขั้นตอนการจดทะเบียนแบบผังภูมิวงจรรวม

                    

คำแนะนำในการเตรียมคำขอแบบผังภูมิของวงจรรวม
1. จัดเตรียมคำขอ
- กรอกข้อความในแบบพิมพ์ แบบ บผ .1, บผ .1( พ ) หรือบผ .1(Add) ให้ครบถ้วน
- คำขอจดทะเบียนแบบผังภูมิของวงจรรวม พร้อมลงลายมือชื่อผู้ขอรับจดทะเบียน หรือตัวแทน และ
- ในกรณี ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ออกแบบเองจะต้อง กรอกข้อความในคำรับรองสิทธิขอจดทะเบียนแบบผังภูมิของวงจรรวมหรือกรณีผู้ขอ เป็นชาวต่างชาติใ
ห้ใช้แบบ บผ .1(Add)
2. เตรียมเอกสารการแสดงสิทธิในการขอจดทะเบียน
- ในกรณี ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้รับโอนสิทธิ จะต้องแนบหนังสือโอนสิทธิ ที่มีลายมือชื่อผู้โอน และผู้รับโอน
- ในกรณี ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้รับสิทธิโดยเหตุอื่น เช่น รับมรดก สัญญาจ้าง เป็นต้น ให้ยื่นเอกสารแสดงสิทธินั้นๆ
3. เตรียมหนังสือมอบอำนาจ ในกรณีที่มอบผ่านตัวแทนที่ขึ้นทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้
ดำเนินการแทน
4. ตัวอย่างวงจรรวม ที่มีแบบผังภูมิที่ยื่นขอจดทะเบียนจำนวน 4 ตัวอย่าง สำหรับกรณีที่มีการนำ
แบบผังภูมินั้นออกหาประโยชน์ในเชิงพาณิชย์แล้ว ทั้งนี้ไม่เกิน 2 ปี
5. รายละเอียดข้อมูลการทำงาน ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ของวงจรรวมเป็นภาษาไทย เช่น
Data sheet เป็นต้น
6. ภาพวาด หรือภาพถ่ายลายเส้น หรือสิ่งอื่นที่ให้ผลในลักษณะเดียวกันที่ใช้ในการผลิตวงจรรวมที่มีแบบผัง ภูมิ เช่น แผ่นบัง (MASK) เป็นต้น

ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนแบบผังภูมิของวงจรรวม
- ยื่นคำขอจดทะเบียนแบบผังภูมิ คำขอละ 1,000 บาท
- การประกาศโฆษณาการรับจดทะเบียนแบบผังภูมิ ฉบับละ 500 บาท
- หนังสือสำคัญแบบผังภูมิ ฉบับละ 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมรายปีตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงโดยชำระค่าธรรมเนียมรายปี ( เริ่มชำระในปีที่ 2) หรือจะชำระทั้งหมดในคราวเดียวกันก็ได้
เครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้า หมายถึง เครื่องหมายที่ใช้กำกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายนั้นเป็นของผู้ใด
แตกต่างกับสินค้าของผู้อื่นอย่างใด เครื่องหมายการค้าอาจจะเป็นภาพ คำ ตัวอักษร ลายมือชื่อหรือตัวเลข
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้
ประเภทของเครื่องหมายการค้า แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
•  เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายที่ใช้กำกับสินค้า เพื่อให้ผู้ซื้อสินค้าหรือคนทั่วไปแยกแยะได้ว่าสินค้านั้น
แตกต่างกับสินค้าของผู้อื่น เช่น โค้ก แตกต่างจากเป๊ปซี่
•  เครื่องหมายบริการ เป็นเครื่องหมายที่ใช้กับธุรกิจบริการ เพื่อแยกแยะว่าธุรกิจบริการนั้นแตกต่างจากธุรกิจ
บริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของผู้อื่น เช่นเครื่องหมายบริการรูปดอกจำปีของสายการบินไทยแตกต่างกับ
สายการบินอื่น ๆ
•  เครื่องหมายรับรอง เป็นเครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายใช้รับรองคุณภาพหรือบริการของผู้อื่นว่า
คุณภาพหรือลักษณะของสินค้าหรือบริการนั้นมีคุณภาพอย่างไร เช่น เครื่องหมายรับรองรูปชามเชลล์ชวนชิม
เครื่องหมายรับรองเปิปพิสดาร
•  เครื่องหมายร่วม เป็นเครื่องหมายการค้าหรือบริการที่ใช้โดยบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในกลุ่มเดียวกันหรือโดย
สมาชิกของสมาคม สหกรณ์ เป็นต้น เช่น รูปช้างในรูปตะกร้าของเครือปูนซีเมนต์ไทย
เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนได้ต้องมีลักษณะดังนี้
1.  มีลักษณะเป็นเครื่องหมาย เช่น อาจเป็นภาพ คำ ตัวอักษร ตัวเลข ลายมือชื่อ
2.  มีลักษณะบ่งเฉพาะ ได้แก่ เครื่องหมายการคัาที่มีลักษณะที่ทำให้ผู้ซื้อสินค้าทราบและเข้าใจว่าสินค้าที่ใช้
เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างจากสินค้าเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น มีลักษณะ 7 ลักษณะดังนี้
•  ชื่อตัว ชื่อสกุล ต้องแสดงโดยลักษณะพิเศษและไม่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติพิเศษของสินค้าโดยตรง
•  คำหรือข้อความที่ไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง เช่น super clean
•  ไม่เป็นชื่อทางภูมิศาสตร์ เช่น กทม . เกาะเสม็ด
•  กลุ่มของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษหรือตัวหนังสือ ตัวเลข หรือคำประดิษฐ์ขึ้น เช่น แถบสีเขียว ส้ม แดง
ของร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
•  ลายมือชื่อของผู้จดทะเบียนขอจดได้ แต่ของบุคคลอื่นต้องขออนุญาตจากบุคคลนั้นหรือบุคคลที่ตายไป
แล้วต้องขออนุญาตจากบุพการี คู่สมรส ผู้สืบสันดาน ( ถ้ามี )
•  ภาพของผู้ขอจดทะเบียนจดได้ แต่ถ้าเป็นภาพของบุคคลอื่นต้องขออนุญาตจากบุคคลนั้นหรือบุคคลที่ตาย
ไปแล้วต้องขออนุญาตจากบุพการี คู่สมรส ผู้สืบสันดาน ( ถ้ามี )
•  ภาพที่ประดิษฐ์ขึ้น คือ ภาพที่คิดขึ้น ทำ แต่ง สร้าง จินตนาการ ดัดแปลงขึ้นและไม่เป็นภาพบรรยายสินค้า
เช่น ภาพมิคกี้เม้าส์
3.  ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ได้แก่
•  ตราแผ่นดิน พระราชลัญจกร
•  ธงชาติของประเทศไทย
•  พระปรมาภิไธย
•  พระบรมฉายาลักษณ์
•  ชื่อ คำ ข้อความหรือเครื่องหมายใดอันแสดงถึงพระมหากษัตริย์ หรือพระราชวงศ์
•  ธงชาติหรือเครื่องหมายประจำชาติของรัฐต่างประเทศ
•  เครื่องหมายราชการ เครื่องหมายกาชาด นามกาชาด หรือกาเจนีวา
•  เครื่องหมายที่เหมือนหรือคล้ายกับเหรียญ ใบสำคัญ หนังสือรับรอง หรือเครื่องหมายอื่นใดอันได้รับเป็น
รางวัลในการแสดงหรือประกวดสินค้าที่รัฐบาลไทย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
•  เครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสนโยบาย
•เครื่องหมายที่เหมือนกับเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป ซึ่งอาจทำให้
ประชาชนสับสน
• สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
• เครื่องหมายอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
4. ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้แล้ว จะต้องไม่มีลักษณะเป็น คำ ๆ เดียวกันหรือ
เป็นรูป ๆ เดียวกัน และจะต้องไม่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น แต่ถ้าคล้ายกันนี้สาธารณชนผู้ซื้อ
สามารถแยกแยะความแตกต่างกันได้ เครื่องหมายการาค้านั้นก็อาจรับจดทะเบียนได้ แต่ถ้าหากคล้ายกันจน
ทำให้สาธารณชนผู้ซื้อสับสนหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้า หรือแหล่งกำเนิดของสินค้าแล้วเครื่องหมาย
การค้านั้นก็ไม่อาจรับจดทะเบียนได้
บทบาทของเครื่องหมายการค้าในเชิงพาณิชย์
1. เป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้า
•  เป็นสัญลักษณ์แทนตัวผู้ผลิตสินค้า
•  บอกแหล่งที่มาของสินค้า
•  แสดงคุณภาพของสินค้า
ผู้ซื้อสินค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าโดยจดจำเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้านั้น ๆ ได้
2. รักษาสิทธิประโยชน์ของเจ้าของเครื่องหมายการค้า เจ้าของการค้าย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
•  สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าของตน
•  สิทธิที่จะโอนหรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้าของตนได้
•  สิทธิที่จะเรียกร้องค่าทดแทนทางแพ่ง
•  สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา
3. คุ้มครองผู้บริโภคสินค้า เครื่องหมายการค้าแตกต่างกันย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคดังนี้
•  ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ถูกต้องไม่สับสนหลงผิด
•  เพิ่มโอกาสในการเลือกซื้อสินค้าในการบริโภค
4. โฆษณาสินค้า การโฆษณาสินค้าเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ดังนี้
    ผู้บริโภคสามารถจดจำสินค้าจากเครื่องหมายการค้าที่กำกับอยู่กับสินค้าได้
หลักเกณฑ์การพิจารณาความเหมือนหรือคล้ายกัน
1.  พิจารณาเสียงและสำเนียงเรียกขานเครื่องหมายการค้า
2.  พิจารณาการวางรูปลักษณะของคำ ของตัวอักษร จำนวนตัวอักษรหรือการประดิษฐ์ตัวอักษร
3.  พิจารณาจากความเหมือนหรือคล้ายในรูปเครื่องหมายการค้า
4.  พิจารณาจากลักษณะการวางรูปรอยประดิษฐ์
5.  พิจารณาจากสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้น ๆ
6.  พิจารณาจากการใช้เครื่องหมายการค้ากับตัวสินค้า
7.  พิจารณาจากเจตนาของผู้ยื่นขอจดทะเบียน

สิทธิในความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า แบ่งได้ 2 ส่วนดังนี้
1.  เครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียน
•  เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้นได้
•  มีสิทธิที่จะฟ้องคดีกับบุคคลใดซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการ
ค้านั้น
•  แต่จะฟ้องคดีเพื่อป้องกันการละเมิดเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนหรือเรียกค่าเสียหายไม่ได้
2.  เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้ว
•  เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าที่จดทะเบียนแล้ว
•  ในกรณีที่มีผู้อื่นละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้า เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้มีสิทธิที่จะ
ฟ้องร้องและเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
•  มีสิทธิที่ฟ้องคดีอาญาสำหรับผู้กระทำผิดตาม พรบ . เครื่องหมายการค้าได้
•  มีสิทธิในการทำสัญญาอนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้าของตน
•  มีสิทธิในการใช้สีเครื่องหมายการค้าได้ทุกสี ในกรณีที่จดทะเบียนไว้โดยไม่จำกัดสี
เครื่องหมายการค้ามีประโยชน์อย่างไร
1.  ด้านเจ้าของเครื่องหมายการค้า ทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำหรือเรียกขานสินค้าของเจ้าของเครื่อง
หมายการค้านั้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถแยกแยะเพื่อเลือกซื้อสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น
ได้ และ ไม่สับสนกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าอื่น ๆ
2.  ด้านผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคสามารถแยกแยะสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากสินค้าที่ใช
้เครื่องหมายการค้าอื่นและเครื่องหมายการค้าจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพตามต้อง
การรวมทั้งทราบถึงตัวเจ้าของเครื่องหมายการค้าด้วย

อายุการคุ้มครอง เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้วมีอายุความคุ้มครอง 10 ปี เมื่อครบกำหนดสามารถ
ที่จะต่ออายุได้เป็นคราว ๆ ละ 10 ปี
ผลกระทบของการละเมิดเครื่องหมายการค้าต่อเศรษฐกิจของประเทศ
1.  ทำให้เกิดการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าระหว่างกันขึ้น
2. การละเมิดเครื่องหมายการค้าของต่างประเทศเกิดผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
เช่น อเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ตอบโต้ด้วยการตัด GSP หลายรายการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก
3.  ต่างประเทศที่ละเมิดเครื่องหมายการค้าของไทยมีผลทำให้ผู้ส่งออกของไทยไม่สามารถส่งสินค้าไปยัง
ต่างประเทศนั้น ๆ ได้ ทำให้ต้องสูญเสียรายได้และการขยายตลาดส่งออก

ลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์ คืออะไร
ลิขสิทธิ์ หมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
โดยการแสดงออกตามประเภทงานลิขสิทธิ์ต่าง ๆ

ลิขสิทธิ์ เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ ความสามารถและความวิริยะอุตสาหะ
ในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น “ ทรัพย์สินทางปัญญา ” ประเภทหนึ่งที่มีคุณค่า
ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เจ้าของผลงานทางลิขสิทธิ์จึงควรได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินประเภทที่สามารถ ซื้อ ขาย หรือโอนสิทธิกันได้ ทั้งทางมรดก หรือโดยวิธีอื่น ๆ การโอนสิทธิ์ควรที่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือทำเป็นสัญญาให้ชัดเจน จะโอนสิทธิทั้งหมด
หรือเพียงบางส่วนก็ได้
งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์
งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ประกอบด้วยประเภทงานต่าง ๆ ดังนี้
•  งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
•  งานนาฎกรรม เช่น งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่าหรือ การแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว การแสดงโดยวิธีใบ้
•  งานศิลปกรรม เช่น งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรมถ่ายภาพ ภาพประกอบแผนที่ โครงสร้าง ศิลปะประยุกต์ และรวมทั้งภาพถ่ายและแผนผังของงานดังกล่าวด้วย
•  งานดนตรีกรรม เช่น ทำนองและเนื้อร้องหรือทำนองอย่างเดียว และรวมถึงโน๊ตเพลงที่ได้แยกและ
เรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
•  งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วีดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ เป็นต้น
•  งานภาพยนตร์
•  งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพ็คดิสก์ เป็นต้น
•  งานแพร่เสียงภาพ เช่น การนำออกเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์
•  งานอื่นใดอันเป็นงานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
ผลงานที่ไม่ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์
ผลงานดังต่อไปนี้เป็นผลงานที่ไม่ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์
•  ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริง ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
•  รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
•  ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
•  คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
•  คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตามข้อ 3.1 – 3.4 ที่กระทรวงทบวง กรมหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ
หรือของท้องถิ่นจัดทำขึ้น
การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์
สิทธิ์ในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้ สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน ดังนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์จึงควรที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเอง โดยการเก็บรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้ทำการสร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้น เพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์สิทธิ หรือความเป็นเจ้าของในโอกาสต่อไป
ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์นอกจากจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานแล้ว บุคคลอื่นอาจจะมีลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างสรรค์นั้นก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ เช่น การสร้างสรรค์งานร่วมกัน การว่าจ้างให้สร้าง
สรรค์งาน การโอนสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ที่มีลิขสิทธิ์จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่อไปนี้
•  ผู้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ที่สร้างสรรค์งานด้วยตนเองเพียงผู้เดียวหรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมกัน
•  ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง
•  ผู้ว่าจ้าง
•  ผู้รวบรวมหรือประกอบกันเข้า
•  กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
•  ผู้รับโอนลิขสิทธิ์
•  ผู้สร้างสรรค์ที่เป็นชนชาติภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญากรุงเบอร์นและประเทศในภาค
ีสมาชิกองค์การการค้าโลก
•  ผู้พิมพ์โฆษณางานที่ใช้นามแฝงหรือนามปากกาที่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์
การคุ้มครองลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ ต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของตนดังนี้
•  ทำซ้ำ หรือดัดแปลง
•  การเผยแพร่ต่อสาธารณชน
•  ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางาน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง
•  ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
•  อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ในการเช่าซื้อ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน และให้เช่าต้นฉบับ
อายุการคุ้มครอง
โดยทั่ว ๆ ไป การคุ้มครองลิขสิทธิ์ จะมีผลเกิดขึ้นโดยทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้
จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และจะคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต หากแต่มีงานบาง
ประเภทจะมีอายุการคุ้มครองแตกต่างกัน ดังนั้น อายุการคุ้มครองสามารถแยกได้ โดยสรุปดังนี้
•  ในงานทั่วไป ลิขสิทธิ์จะมีอยู่ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ และจะมีต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความ
ตาย กรณีที่เป็นผู้สร้างสรรค์ร่วมให้นับจากผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย กรณีที่เป็นนิติบุคคล
ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น กรณี ที่ผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝง หรือไม่ปรากฏชื่อ
ผู้สร้างสรรค์ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
•  งานถ่ายภาพ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค
์นั้นขึ้น
•  งานที่สร้างสรรค์โดยการจ้างหรือตามคำสั่ง ให้มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
•  งานศิลปะประยุกต์ ลิขสิทธิ์มีอายุ 25 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นกรณีที่ได้มีการโฆษณางานเหล่านั้นใน
ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ต่อไปอีก 50 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก ยกเว้นในกรณีงานศิลปประยุกต์
ให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ต่อไปอีก 25 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก
ประโยชน์ของลิขสิทธิ์
•  ประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ลิขสิทธิ์และมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น หรือผลงานตามข้อใดข้อหนึ่งตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นเจ้าของ
ลิขสิทธ์ิ์จะมีสิทธิในการทำซ้ำดัดแปลง จำหน่าย ให้เช่า คัดลอก เลียนแบบ ทำสำเนา การทำให้ปรากฏต่อ
สาธารณชน หรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้ลิขสิทธิ์ของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้
้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
•  ประโยชน์ของประชาชนหรือผู้บริโภค
การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิในผลงานลิขสิทธิ์มีผลให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะสร้างสรรค์ผลงาน
ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางวรรณกรรมและศิลปกรรมออกสู่ตลาด ส่งผลให้ผู้บริโภคจะได้รับความรู้ ความบันเทิง และได้ใช้ผลงานที่มีคุณภาพ
การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
       ลิขสิทธิ์ เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำริให้มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์เพื่อใช้เป็นฐาน ข้อมูลและรวบรวมข้อมูล
เบื้องต้น เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ นอกจากนี้แล้วยังเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ต้องการขออนุญาตใช้ ลิขสิทธิ์สามารถตรวจค้นเพื่อประโยชน์
ในการติดต่อธุรกิจกับเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย
        การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้แจ้งได้รับสิทธิในผลงานนั้น หรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์จะไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ เพิ่มขึ้นจากสิทธิที่มีอยู่เดิมของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริง
เอกสารและหลักฐานประกอบการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
•  แบบพิมพ์คำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ จำนวน 2 ชุด ซึ่งผู้แจ้งจะต้องกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ประเภทของงาน ชื่อผู้แจ้ง ชื่อผู้สร้างสรรค์ สถานที่ติดต่อ ลักษณะของงาน วิธีการสร้างสรรค์ เป็นต้น
•  หลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจ ( ถ้ามี ) เป็นต้น
•  ผลงานลิขสิทธิ์ที่สร้างสรรค์ จำนวน 1 ชุด
สิทธิบัตร

สิทธิบัตร เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวทุก คนมากที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าสิทธิบัตร
เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุก ๆ คน คือ สิ่งของหรือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันล้วนแล้วแต่
่เป็นผลที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้นทั้งสิ้น เช่น การพัฒนาเกี่ยวกับผงซักฟอกซึ่งปัจจุบันเป็นผงซักฟอกชนิด
เข้มข้นและมีประสิทธิภาพในการซักล้างสูง เป็นต้น ดังนั้น สิทธิบัตรจึงมีส่วนช่วยทำให้การดำรงชีวิตของมนุษย์
์มีความสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยมากขึ้น

สิทธิบัตร คืออะไร
สิทธิบัตร หมาย ถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ (Invention) การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) หรือผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ (Utility Model) ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด
- การประดิษฐ์ คือ ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะ องค์ประกอบ
โครงสร้างหรือกลไกของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การรักษา
หรือปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นหรือทำให้เกิดผลิตภัณฑ์
ขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
 
ตัวอย่างสิทธิบัตรการประดิษฐ
 

- สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์
เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ คือเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใช้แพร่หลายในประเทศ หรือยัง
ไม่เปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดก่อนวันขอรับสิทธิบัตร หรือไม่คล้าย
กับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว เพื่ออุตสาหกรรมหรือหัตถกรรม
ตัวอย่างสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ  

ผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถยื่นจดสิทธิบัตรได้จะต้องมีลักษณะดังนี้
1. เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่
2. เป็นการประดิษฐ์มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น
3. เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม เกษตรกรรม
พาณิชยกรรม หรือหัตถกรรมได้

       กรณีที่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์จะขอรับสิทธิได้ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรม
หรือหัตถกรรม คือ เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใช้แพร่หลายในประเทศ ซึ่งรวมถึงการขายด้วยหรือยัง
ไม่่เคยเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร หรือไม่คล้ายกับแบบ
ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว

สิ่งที่จดสิทธิบัตรไม่ได้ ได้แก่
1.จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีตามธรรมชาติ สัตว์ พืช หรือสารสกัดที่ได้
จากสัตว์และพืช ซึ่งถือเป็นการค้นพบเท่านั้น แต่ในกรณีที่นำไปผสมกับสารหรือส่วนประกอบอื่น
สามารถที่จะขอจดสิทธิบัตรได้
2.กฎเกณฑ์และทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
3.ระบบข้อมูลสำหรับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
4.วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์
5.การประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี อนามัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน

การเตรียมคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ / อนุสิทธิบัตร
1. แบบพิมพ์คำขอรับสิทธิบัตรและเอกสารประกอบ
  
1.1 เอกสารหลักฐานแสดงสิทธิขอรับสิทธิบัตร
  1.2 เอกสารหลักฐานการมอบอำนาจให้ตัวแทนเป็นผู้กระทำการแทน
2. รายละเอียดการประดิษฐ์ ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
  
2.1 ชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์
  2.2 ลักษณะและความมุ่งหมายของการประดิษฐ์
  2.3 สาขาวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์
  2.4 ภูมิหลังของศิลปวิทยาการที่เกี่ยวข้อง
  2.5 การเปิดเผยการประดิษฐ์โดยสมบูรณ์
  2.6 คำอธิบายรูปเขียนโดยย่อ ( ถ้ามี )
  2.7 วิธีการประดิษฐ์ที่ดีที่สุด
3. ข้อถือสิทธิ
4. บทสรุปการประดิษฐ์
5. รูปเขียน ( ถ้ามี )
 อายุการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตร
- สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีอายุ 20 ปี นับแต่วันขอรับสิทธิบัตร
- สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีอายุ 10 ปี นับแต่วันขอรับสิทธิบัตร

อนุสิทธิบัตร
อนุสิทธิบัตร คืออะไร
อนุสิทธิบัตร คือ หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์
ความแตกต่างระหว่างสิทธิบัตรการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตร
       อนุสิทธิบัตรและสิทธิบัตรการประดิษฐ์ต่างก็มีขอบเขตให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์เช่นเดียวกันแต่
อนุสิทธิบัตรเป็นการประดิษฐ์ที่มีเทคนิคที่ไม่สูงมากนัก อาจจะเป็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย  ส่วนสิทธิบัตร
การประดิษฐ์จะต้องมีการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของสิ่งที่มีมาก่อนหรือที่เรียกว่ามีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น
        ขั้นตอนการขอรับอนุสิทธิบัตรจะใช้ระยะเวลาสั้นกว่าสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากเนื่องจากใช้ระบบจดทะเบียน
แทนการใช้ระบบที่ต้องมีการตรวจสอบก่อนการรับจดทะเบียน
       ผู้ประดิษฐ์คิดค้นสามารถที่จะเลือกว่าจะยื่นขอความคุ้มครองสิทธิบัตร หรือ อนุสิทธิบัตรอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จะขอความคุ้มครองทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้
การประดิษฐ์ คืออะไร
       
การประดิษฐ์ คือ การคิดค้นหรือคิดทำขึ้นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีใหม่ที่แตกต่างไป จากเดิม เช่น การประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับกลไก โครงสร้าง หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์ สิ่งของหรือเครื่องใช้ต่าง ๆ หรือเป็น
การประดิษฐ์เกี่ยวกับ กรรมวิธี กระบวนการ หรือวิธีการใหม่ ๆ ในการผลิต การเก็บรักษาให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ
ที่ดีขึ้น

เงื่อนไขในการขอรับอนุสิทธิบัตร
1. เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ยังไม่เคยมีใช้หรือแพร่หลายมาก่อนในประเทศ หรือไม่เคยเปิดเผยสาระสำคัญในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ก่อนวันยื่นขอทั้งในและ ต่างประเทศ
2. เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้
อายุการให้ความคุ้มครอง
อนุสิทธิบัตรมีอายุ 6 ปี นับตั้งแต่วันขอรับอนุสิทธิบัตร และต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปี ตั้งแต่เริ่มปีที่ 5 และปีที่ 6 และสามารถต่ออายุได้อีกสองครั้ง ครั้งละ 2 ปี ( รวม 10 ปี )
จะต้องมีเอกสารดังนี้
•  แบบพิมพ์คำขอ ( สบ / สผ / อสป /001- ก )
•  รายละเอียดการประดิษฐ์
•  ข้อถือสิทธิ
•  บทสรุปการประดิษฐ์
•  รูปเขียน ( ถ้ามี )
•  เอกสารประกอบคำขอ เช่น
   - เอกสารหลักฐานแสดงสิทธิในการขอรับอนุสิทธิบัตร
   - หนังสือมอบอำนาจ ( เฉพาะมอบอำนาจให้ตัวแทนที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น )
   - หนังสือสัญญาโอนสิทธิ์ในการขอรับอนุสิทธิบัตร
   - ต้นฉบับหนังสือรับรองจดทะเบียนนิติบุคคล ( กรณีที่ผู้ขอเป็นนิติบุคคล , ออกให้ไม่เกิน 6 เดือน )
ลิขสิทธิ์ คืออะไร
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhO4h84USaxuVpC-MP2IY6G5_0ozdnCivIWiZJN5ON82b3oaFRDMdZRgWaXPY3P6Kc_gTW-2Tz0qIeM555HFW7cyKjaIfasEPOssPmF4y6U4Q3S2j0cKTKp2L7C49EoQsYCJRqS49B0mk8/s1600/280408_14.jpg 
ความรู้เบื้องต้นด้านลิขสิทธิ์
1. ลิขสิทธิ์คืออะไร
ลิขสิทธิ์เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ความสามารถ และความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ลิขสิทธิ์หมายถึงสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
2. ประเภทของงานสร้างสรรค์
งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ประกอบด้วยงานต่างๆ ดังนี้

2.1 งานทั่วไป ได้แก่

o        งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
o        งานนาฎกรรม เช่น งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบเป็นเรื่องเป็นราว การแสดงโดยวิธีใบ้
o        งานศิลปกรรม เช่น งานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ภาพพิมพ์ภาพประกอบแผนที่ โครงสร้าง ศิลปประยุกต์ ภาพถ่าย และแผนผัง ของงานดังกล่าว
o        งานดนตรีกรรม เช่น เนื้อร้อง ทำนอง โน๊ตเพลงที่ได้แยกแยะเรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
o        งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วีดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ เป็นต้น
o        งานภาพยนต์
o        งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพคดิสก์
o        งานแพร่เสียงแพร่ภาพ
o        งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
2.2 งานสืบเนื่อง ได้แก่
o        งานดัดแปลง หมายถึง การทำซ้ำโดยเปลี่ยนรูปใหม่ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
o        งานรวบรวม หรือประกอบเข้าด้วยกัน โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
3. สิ่งที่กฎหมายไม่คุ้มครอง
สิ่งที่กฎหมายไม่คุ้มครอง ได้แก่
·         แนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์
·         ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ วิธีใช้ หรือการทำงาน
4. สิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์
ผลงานดังต่อไปนี้เป็นผลงานที่ไม่ถือว่ามีลิขสิทธิ์
- ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร
- รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
- ประกาศ คำสั่ง ระเบียบ คำชี้แจง ของหน่วยงานรัฐหรือท้องถิน
- คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
- คำแปล และการรวบรวมสิ่งต่างๆ ข้างต้น ที่หน่วยงานของรัฐหรือท้องถิ่นจัดทำขึ้น
5. การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์
สิทธิในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน ซึ่งมีลักษณะการได้มา ดังนี้
- คุ้มครองทันทีที่ได้มีการสร้างสรรค์งานนั้น
- กรณีที่ยังไม่ได้มีการโฆษณางาน ผู้สร้างสรรค์ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีสัญชาติในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญา ว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ ด้วย
- กรณีที่มีการโฆษณางานแล้ว ต้องเป็นการโฆษณาครั้งแรกได้ทำขึ้นในราชอาณาจักรหรือในประเทศที่เป็นภาคีฯ
- กรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล ต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
6. ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้แก่ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้
- ผู้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ ซึ่งอาจเป็นผู้สร้างสรรค์งานด้วยตนเองเพียงผู้เดียว หรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมกัน
- ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง
- ผู้ดัดแปลงหรือผู้รวบรวม โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของ
- ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานที่จ้าง เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
- กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานของรัฐหรือท้องถิ่น
- ผู้รับโอนสิทธิ
- ผู้พิมพ์โฆษณางานที่ใช้นามแฝงหรือนามปากกาที่ไม่ปรากฎชื่อผู้สร้างสรรค์
7. สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์
1.      เจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ ต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของตนดังต่อไปนี้ มีสิทธิ์ในการทำซ้ำ ดัดแปลง จำหน่าย ให้เช่า คัดลอก เลียนแบบทำสำเนา การทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนหรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิของตน โดยมีหรือไม่มีค่าตอบแทนก็ได
2.      นอกจากสิทธิที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะได้รับความคุ้มครองในรูปของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว กฎหมายยังคุ้มครองสิทธิที่เรียกว่า ธรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิในทางศีลธรรมด้วย โดยกำหนดว่าผู้สร้างสรรค์มีสิทธิที่จะแสดงตนว่าเป็นผู้สร้างสรรค์และห้ามผู้อื่นมิให้กระทำการบิดเบือน ตัดทอน ดัดแปลง หรือกระทำการให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้สร้างสรรค์
8. อายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์
งานทั่วๆ ไป ลิขสิทธิ์จะมีตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ และจะมีต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย กรณีเป็นนิติบุคคล ลิขสิทธิ์จะมีอยู่ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
งานภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนต์ หรืองานแพร่เสียง แพร่ภาพ ลิขสิทธิ์มีอยู่50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น งานที่สร้างสรรค์โดยการจ้างหรือตามคำสั่ง มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น งานศิลปประยุกต์ ลิขสิทธิ์มีอยู่ 25 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
กรณีได้มีการโฆษณางานเหล่านั้น ในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ต่อไปอีก 50 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก ยกเว้นในกรณีศิลปประยุกต์ ให้มีลิขสิทธิ์อยู่ต่อไปอีก 25 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก
9. ผลภายหลังลิขสิทธิ์หมดอายุ
งานนั้นตกเป็นสมบัติของสาธารณะ บุคคลใดๆ สามารถใช้งานนั้นๆ ได้โดยไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
10. นักแสดง
หมายถึง ผู้แสดง นักดนตรี นักร้อง นักเต้น นักรำ และผู้แสดงท่าทาง ร้อง กล่าวพากย์ แสดงตามบทหรือในลักษณะอื่นใด
11. สิทธิของนักแสดง
มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการกระทำอันเกี่ยวกับการแสดงของตนและมีสิทธิในการรับค่าตอบแทน
12. อายุการคุ้มครองสิทธินักแสดง
มีอายุการคุ้มครอง 50 ปี นับแต่ที่มีการแสดงหรือมีการบันทึกการแสดง
http://web1.dara.ac.th/somchit/lessononline/license.html