อำลาเพ็ญศรี
วันนี้(๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐) ผมพิ่งจะได้ทราบว่าคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ได้จากเราไปแล้ว
ขอแสดงความเสียใจ
ชวพันธ์ พิริยะพงษ์
ตลับทองสุทราภรณ์ ๑๒ ชุด หงษ์เหิร (MTCD 6052)
๑ หงษ์ เหิร คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เวส สุนทรจามร
๒ คนึงครวญ คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง หลวงสุขุมนัยประดิษฐ(ประดิษฐ สุขุม)
๓ สุริยาลับฟ้า คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
๔ แสงเดือนเตือนรัก คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
๕ เดือนหงายใจเศร้า คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
เพลงนี้บันทึกเสียงครั้งแรก โดยเพ็ญศรี พุ่มชูศรี
ในลีลาท่วงทำนองเพลงฮาวายที่หาฟังได้ยากมากในสมัยนี้
ต่อมาได้นำมาขับร้องใหม่ในจังหวะแทงโก้โดย บุษยา รังสี
เพลงนี้ครูแก้วใช้เดือนหงายเป็นสื่อในการสร้างอารมณ์เศร้าได้เหมาะสมมาก
๖ ยิ้มคือความสุข คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
๗ โอ้ยอดรัก คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
๘ หงษ์ทอง คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เวส สุนทรจามร
เป็นเพลงจังหวะบีกวินครูแก้ว นำหงส์กับกามาเปรียบเทียบกันได้ไพเราะและเป็นแนวคิดแบบไทยไทยที่อาจได้มาจากคติธรรมจากนิทานอีสป
๙ ดวงใจ คำร้อง พระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง “ อณุรุฑ ” ในรัชกาลที่ ๖ ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
ต่อมาคุณรุ่ฤดี แพ่งผ่องใส ก็ได้ขับร้องเพลงนี้เช่นกัน
๑๐ สัญญาที่เธอลืม คำร้อง สุรัฐ พุกกะเวส ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
เป็นเพลงที่คุณเพ็ญศรีภาคภูมิใจมากเพราะไพเราะและได้อารมณ์เพลงดีมาก
๑๑ หาดสงขลา คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
ผู้ขับร้องเพลงนี้อีกคนคือ พรศุลี วิชเวช
๑๒ ศกุนตลา คำร้อง ทวีปวร(ทวีป วรดิลก) ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
ศกุนตลา
เป็นเกร็ดแทรกอยู่ตอนต้นเรื่องมหาภารตะชื่อว่า ” ศกุนตโลปาขยานัม ”
ซึ่งแปลว่าเรื่องแทรกชื่อศกุนตลา
มีเนื้อความว่าด้วนกำเนิดของจักรพรรดิอินเดียผู้ทรงพระนามว่า ภรต
ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตระกูลปาณฑพและเการพในมหาภารตะ
ภรตนี้เป็นโอรสของนางศกุนตลากับราชาทุษมันตะนั่นเอง
ต่อมากาลิทาสกวีเอกในราชสำนักพระเจ้าวิกรมาทิตย์ได้นำเค้าเรื่องจาก ”
ศกุนตโลปาขยานัม ” มาดัดแปลงเป็นละครสันสฤตมีชื่อว่า อภิชญานศากุนตลมนาฏก
แปลว่า ละครชื่อ ศกุนตลากับความระลึกได้(สุนันทา โสรัจจ์, ๒๕๒๖ : ๑๕๖)
๑๓ เดือนครึ่งดวง คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงที่ทำชื่อเสียงให้คุณเพ็ญศรี มากเพลงหนึ่ง
ครูแก้วซึ่งเป็นผู้ประพันธ์ใช้แนวร้องเปรียบเทียบระหว่างกระต่ายที่มุ่งหมาย
ดวงจันทร์ได้เหมาะสมยิ่งโดยเฉพาะการใช้คำว่า เดือนครึ่งดวง
ซ้ำกันหลายวรรคหลายตอนได้ไพเราะมาก
๑๔ นางละคร คำร้อง สุรัฐ พุกกะเวส ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
๑๕ ฝากรัก คำร้อง/ทำนอง หม่อมเจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์
๑๖ ศรกามเทพ คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
เพลงนี้ผู้ขับร้องท่านแรกคือ คุณ มัณฑนา โมรากุล ซึ่งเธอเล่าว่าเป็นเพลงที่เธอร้องในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อมา คุณเพ็ญศรีเป็นผู้ขับร้องบันทึกเสียงและเป็นเพลงประจำตัวเธอเรื่อยมา
(เนื่องจากข้อมูลที่ผมมีอยู่นั้นมีเพียงน้อยนิด
เราน่าจะร่วมสนุกกันโดยหากท่านมีข้อมูลมากกว่าก็นำมาเพิ่มเติมหรือหากข้อมูล
ที่ทางผมมีผิดพลาดโปรดเมตตาช่วยแก้ไขจะเป็นพระคุณอย่างสูง)
แม่ไม้เพลงไทย ม่านไทรย้อย CD 163
๑ ม่านไทรย้อย คำร้อง ไสล ไกรเลิศ ทำนอง สุทิน เทศารักษ์
บันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ครั้งที่ ๒ ในเดือน มีนาคม ๒๕๐๕ ที่ บริษัท กมลสุโกศล
เพลงม่านไทรย้อย
เป็นเพลงที่ดัดแปลงทำนองมาจากไวโอลินคอนแชร์โต้ของปีเตอร์ ไชคอฟสกี้
โดยสุทิน เทศารักษ์ ประพันธ์คำร้องโดยไสล ไกรเลิศ ขับร้องโดยเพ็ญศรี
พุ่มชูศรี
ทำนอง: ปีเตอร์ ไชคอฟสกี้
ไวโอลิน: สุทิน เทศารักษ์
คำร้อง: ไสล ไกรเลิศ
ลืมลืมหมดแล้วหรือไร แม้จันทร์ที่เคยเป็นใจ หลบบังม่านไทรย้อยกิ่ง
กระซิบรำพัน แสงจันทร์เคยแอบเอนอิง หนาวลมแนบอกเธอผิง สุดซึ้งใจจริงหาใดปาน
ลืมลืมหมดแล้วน้ำคำ ซึ้งจำติดรอยใจพิมพ์ เคยชิมว่าเป็นน้ำตาล
ยังหวานตรึงใจ รสใดจะเปรียบประมาณ แท้จริงลมปากเธอหวาน หลอกเธอมานานร้อยหมื่นอย่าง
กิ่งไทรย้อยร้อยรักไว้ ลมไหวไทรเอน ใจเต้นคล้ายลาง
แอบออดชู้ชูกิ่งพลาง ไทรเจ้ากางใบบัง งามเหมือนดังม่านทอง
ลืมลืมหมดแล้วสายลม แม้ไทรที่เคยชื่นชม รื่นรมย์แทนเรือนหอห้อง
ไทรเอ๋ยเคยเอน พักเป็นแดนสุขเวียงทอง เย้ายวนกันอยู่เพียงสอง ขาดรักไทรมองพริ้วดอกเกลื่อน
กิ่งไทรย้อยร้อยรักไว้ ลมไหวไทรเอน ใจเต้นคล้ายลาง
แอบออดชู้ชูกิ่งพลาง ไทรเจ้ากางใบบัง งามเหมือนดังม่านทอง
ลืมลืมหมดแล้วสายลม แม้ไทรที่เคยชื่นชม รื่นรมย์แทนเรือนหอห้อง
ไทรเอ๋ยเคยเอน พักเป็นแดนสุขเวียงทอง เย้ายวนกันอยู่เพียงสอง ขาดรักไทรมองพริ้วดอกเกลื่อน
๒ ความรักเจ้าขา คำร้อง สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๓ ชีวิตหวัง ?
๔ ชีวิตมืด คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร์
๕ สอนรัก ขับร้องตู่กับ สวลี ผกาพันธุ์ คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร์
๖ อ้อมอกสวรรค์ คำร้อง สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๗ เพชรน้ำหนึ่ง ?
๘ ไฟรัก ?
๙ ม่านน้ำตา คำร้อง ชาลี อิทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๑๐ ดอกโศก คำร้อง ชาลี อิทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๑๑ คนจะรักกัน คำร้อง/ทำนอง นาวาตรี พยงค์ มุกดา รน.
๑๒ วาสนาตัวเรา
๑๓ น้อง คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๑๔ แม้ทะเลยังระทม คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร
๑๕ ลูกนก คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๑๖ น้ำผึ้ง-น้ำใจ คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร
แม่ไม้เพลงไทย บางปะกง CD164
๑ บางปะกง คำร้อง/ทำนอง นคร มงคลายน
ทีแรกก็นึกว่าคงไม่มีข้อมูลมาเล่าให้ฟังพอดีไปอ่านพบเกี่ยวกับเพลงบางเพลงของครูนคร
มงคลายน
เข่นเพลงบางปะกงนี้แต่งขึ้นอันเนื่องมาจากเมื่อคราวไปเปิดการแสดงที่จังหวัด
ฉะเชิงเทราที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในอำเภอบางปะกง
วันแรกมีคนชมมีมากมายเพราะมีคนมารอชมซึ่งคอยมาหลายวัน
แต่พอมาวันหลังหลังคนดูชักน้อยลง
ครูนครจึงประกาศแก่คนดูว่าพรุ่งนี้จะตอบแทนผู้ชมชาวบางปะกงโดยการจะแต่งเพลง
ให้ชาวบางปะกง คือเพลงบางปะกงนี้ และเพลงนี้ ร.ต. กิตติ ประทุมแก้ว
ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราในขณะนั้นได้มาติดต่อครูนครขอเพลงนี้เป็นเพลง
ประจำจังหวัด และครูนครได้รับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณที่โรงแรมบางปะกง
โดยพล.อ. ประหยัด ดิษยะศริน เป็นผู้มอบ
และวิธีเรียกผู้ชมแบบนี้ได้ผลได้ทุกที่ที่ท่านได้ไปเปิดการแสดง เช่น
นครนายกคือ เพลงน้ำตกสาริกา ภูเก็จ(ภูเก็ต) คือเพลงหากสุรินทร์ หัวหิน
คือเพลง หัวหินไม่สิ้นทราย กาญจนบุรี คือเพลง ไทรโยคแห่งความหลัง สงขลา
คือเพลง คืนหนึ่งในสงขลา เป็นต้น
๒ เริงละลม คำร้อง ชลอ ไตรตรองสอน ทำนอง สง่า อารัมภีร์
๓ สายหยุด ขับร้องกับวงมิตรศิลปิน
๔ งามชายหาด คำร้อง/ทำนอง เสน่ห์ โกมารชุน
๕ ฝนสั่งฟ้า คำร้อง/ทำนอง ไสล ไกรเลิศ
๖ พ่อพระในดวงใจ คำร้อง/ทำนอง ป. ชื่นประโยชน์
๗ อยากมารักเขาเอง คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร
๘ พรานสังคม คำร้อง/ทำนอง ป.(เปรื่อง) ชื่นประโยชน์
๙ รุ่งฤทัย คำร้อง ทวีปวร(ทวีป วรดิลก) ทำนอง สง่า อารัมภีร์
๑๐ กิ่งไทรไหวลม ?
๑๑ เอื้องระทม ?
๑๒ มณีบนนิ้วนาง ขับร้องกับวงหิรัญเนรมิต
๑๓ ปิ่นทอง ?
๑๔ ซอสวาท คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง ประสิทธิ์ พยอมยงค์
๑๕ นกน้อยในกรงทอง คำร้อง/ทำนอง นคร มงคลายน
๑๖ พิมครวญ ขับร้องกับคณะศิวารมณ์
แม่ไม้เพลงไทย หนามชีวิต CD165
๑ หนามชีวิต คำร้อง ชาลี อิทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
เพลงนี้เป็นเพลงที่คุณ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ซึ่งเมื่อเช้าวันที่ ๑๒
มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔
หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำลหุโทษหลังจากถูกจองจำอยู่ประมาณสองปี
เศษ คุณ ถาวร สุวรรณ และ คุณ ปรีชา พิบูลย์เวช สองนักจัดรายการวิทยุ
เจ้าของคณะละคร “ สุปรีดา ”
มารับเธอไปอัดเสียงเพลงประกอบละตรที่ไทยทีวีช่อง ๔ บางขุนพรหม
ที่ประพันธ์คำร้องโดยคุณ ชาลี อิมทรวิจิตร ทำนองโดย ครู สมาน กาญจนะผลิน
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง ” หนามชีวิต ”
เพลงนี้เป็นเพลงซึ่งตรงกับชีวิตที่แสนขมขื่นของเธอ
เนื่องจากได้ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำลหุโทษอันเนื่องจากเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๐๐ คุณสุวัฒน์ วรดิลก สามีของเธอเป็นหัวหน้าคณะพาผู้แทนศิลปินไทย
๔๘
คนรวมทั้งตัวเธอด้วย(มีครูสมานร่วมเดินทางไปด้วย)ไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
และได้เป็นแขกพิเศษของประธานเหมา เจ๋อ ตง
และขากลับประเทศไทยพอเรือมาถึงเกาะสีชัง ก็ถูกตำรวจสันนิบาลจับกุมในข้อหา ”
มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ”
ขณะที่บันทึกเสียงอยู่นั้นเธอได้ร้องไห้ออกมาเพราะไม่สามารถระงับอารมณ์
เศร้าจากเคราะห์กรรมที่เธอประสพมาและอีกทั้งคู่ชีวิต คุณสุวัฒน์
วรดิลก(รพีพร) ยังคงถูกจำขังอยู่ในเรือนจำ
แต่การบันทึกครั้งนี้ก็จบลงด้วยดี

ภาพนี้เป็นภาพที่คุณสุวัฒน์ วรดิลก
หลังจากฟังคำพิพากษาให้ถูกจำคุกที่เดินตามหลังมาคือคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี
เดินร้องไห้ตามมาหลังจากฟังคำพิพากษายกฟ้อง
๒ วิหกเหิรลม คำร้อง สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๓ โพระดก คำร้อง ชาลี อิทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๔ กุสุมาอธิฐาน คำร้อง/ทำนอง ไสล ไกรเลิศ
๕ คำอธิษฐานของดวงดาว คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร
๖ เตือนใจ คำ ร้อง/ทำนอง สุรพล โทณวณิก
๗ เดือนรุ่ง คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร
๘ ครวญหา คำร้อง สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ ทำนอง สมาน กาญจนะผลิน
๙ มนต์รัก คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง ประสิทธิ์ พยอมยงค์
๑๐ ความรักใช่ไหม
๑๑ ดึกแล้ว
๑๒ ก่อนที่เธอจะรักฉัน คำร้อง สุรพล โทณวณิก ทำนอง ไสล ไกรเลิศ
๑๓ แว่วเพลงพิศวาส
๑๔ ขวัญของเรียม คำร้อง/ทำนอง
พรานบูรพ์ ผมชอบเสียงกรุ๊งกริ๊งในเพลงนี้ครับ
แยกเสียงซ้ายขวาแบบปิงปองสเตอริโอเข้าใจว่าในสมัยนั้นยังงคงใหม่มากสำหรับ
ช่างบันทึกเสียงของเรา ก็เป็นเสน่ห์ไปอีกแบบ
๑๕ ภาพลวงตา
๑๖ สักวาลาจาก คำร้อง/ทำนอง สง่า อารัมภีร
(เนื่องจากข้อมูลที่ผมมีอยู่นั้นมีเพียงน้อยนิด
เราน่าจะร่วมสนุกกันโดยหากท่านมีข้อมูลมากกว่าก็นำมาเพิ่มเติมหรือหากข้อมูล
ที่ทางผมมีผิดพลาดโปรดเมตตาช่วยแก้ไขจะเป็นพระคุณอย่างสูง)
ขอแนะนำหนังสือแกล้มเพลงสักเล่ม
หนังสือออกใหม่ของโครงการวิจัยการวิจารณ์ในฐานะพลังทางปัญญา (ภาค ๒ )
ศ.เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ หัวหน้าโครงการ
" เพ็ญศรี พุ่มชูศรี คีตศิลปิน"
หนังสือรายงานการวิจัยในโครงการฯ โดยเลือกศึกษาคีตศิลปิน คุณเพ็ญศรี
พุ่มชูศรี ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นนักร้องคนสำคัญของสุนทราภรณ์
เป็นนักร้องที่ได้รับความนิยมสูงตลอดกาล
เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการร้องเพลง
โดยผสมผสานความเป็นไทยและความเป็นตะวันตกได้อย่างลงตัว
อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการตีความเนื้อร้องได้อย่างน่าศึกษาอย่างยิ่ง
การวิจัยครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพยายามสร้างองค์ความรู้ด้าน
การวิจารณ์อย่างเป็นวิชาการ โดยได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า
ศิลปะทุกแขนง ทั้ง วรรณศิลป์ ทัศนศิลป์ ศิลปะการละคร และสังคีตศิลป์
เมื่อมีการวิจารณ์อย่างเป็นระบบตามแนวทางอย่างเป็นวิชาการ
จะทำให้มองเห็นพัฒนาการของศิลปะในประเทศได้อย่างชัดเจนขึ้น
ทั้งยังมองเห็นการก่อกำเนิดทางศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศ
สิ่งสำคัญสืบเนื่องจากการวิจัยก็คือ การนำเสนอผลงานการวิจัยสู่สาธารณชน
หาซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาหรือ สำนักงานสนับสนุนกองทุนการวิจัย(สกว.)
โทร ๐๒ ๔๓๕๓๙๖๒/๐๒ ๔๓๔๖๒๕๗ ชั้น ๘ ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร ๒๐ ถนนบรมราชชนนี
ตลิ่งชัน กทม ๑๐๑๗๐ thaicritic@hotmail.com และ offic@hotmail.com ใน www.thaicritic.com หรือหาไม่ได้ก็ลองดูที่(
www.combangweb.com โดย
โอนเงินผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนศรีนครินทร์ ออมทรัพย์เลขที่
๐๘๐-๒-๓๑๕๐๔-๑ ชื่อบัญชี นางสาว หวานชื่น บางคมบาง
แล้วส่งแฟกซ์สลิปโอนเงินพร้อมที่อยู่มาที่ ๐๒ ๗๓๕๘๓๐๖ หรือ ๐๒ ๓๖๘๒๑๘๒
โปรดระบุว่า “ สมาชิกคมบาง ”)
(หมายเหตุ ท่านที่กังวลเรื่อง Image, Soundstage,
Impact, Focus Sound field, ช่องว่างระหว่างตัวโน้ต, เสียงรอบตัวโน้ต, ลึก,
ตื้น, หนา, บาง ฯลฯ
จะสิ้นกังวลหากท่านอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรับรองหายกังวลเป็นปลิดทิ้งครับ
เขาวิจัยให้หมดแล้วครับ)
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี

ประวัติ
ตัดตอนจากบทความ เรื่อง นางเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ศิลปินแห่งชาติ
สาขาศิลปการแสดง (เพลงไทยสากล-ขับร้อง) พุทธศักราช ๒๕๓๔ นิตยสารสกุลไทย
ฉบับที่ ๒๔๒๖ ปีที่ ๔๗ ประจำวันอังคารที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๔
คุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี เกิดที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน
พุทธศักราช ๒๔๗๒
หลังจากที่ท่านเรียนจบระดับมัธยมที่โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรีพิษณุโลกแล้ว
ครอบครัวของท่านก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
แต่เนื่องจากฐานะของทางบ้านค่อนข้างขัดสน
คุณเพ็ญศรีจึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ อย่างไรก็ตาม
ด้วยความที่มีความสนใจและสามารถร้องเพลงได้ดีตั้งแต่เล็กๆ
คุณเพ็ญศรีจึงได้เข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัดต่างๆ ตั้งแต่อายุเพียง ๘ ปี
โดยใช้นามว่า “ ผ่องศรี พุ่มชูศรี ”
และประสบความสำเร็จได้รับรางวัลชนะเลิศหลายสิบครั้ง
จนเกือบจะหาคู่แข่งมาเทียบเคียงไม่ได้ จากความสามารถอันโดดเด่นนี้
ทำให้มีผู้ทาบทามให้ไปร้องเพลงอัดแผ่นเสียงเป็นครั้งแรก เมื่อปี ๒๔๘๔
ขณะที่อายุเพียง ๑๒ ปี โดยร้องเพลงชื่อ “ ศีลธรรมทั้งห้า ”
ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ทั้งคำร้องและทำนอง โดย ศิวะ วรนาฏ
โดยได้รับเงินค่าตอบแทน ๕ บาท จากนั้น อีกประมาณ ๑ ปีถัดมา คือช่วงปี ๒๔๘๕
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย
บริษัทมิตซุย ซึ่งเป็นบริษัทของญี่ปุ่น
ก็ได้ว่าจ้างให้คุณเพ็ญศรีไปขับร้องเพลงเป็นประจำในค่ายทหารญี่ปุ่น
โดยให้เงินเดือน ๔๕ บาท ครั้นถึงปี ๒๔๘๗
คุณเพ็ญศรีก็ได้ไปสมัครเป็นนักร้องประจำวงดนตรีสากลของกรมโฆษณาการ
โดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของ ครูเวส สุนทรจามร
และได้รับการบรรจุให้เป็นข้าราชการสามัญ
ทำหน้าที่ร้องเพลงกับวงดนตรีกรมโฆษณาการ ซึ่งมี ครูเอื้อ สุนทรสนาน
เป็นหัวหน้าวง ต่อมาก็ได้ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงที่ห้าง ต.เง็กชวน
ส่งผลให้ผลงานเพลงที่ท่านร้อง เริ่มเผยแพร่ออกไปเรื่อยๆ
ทำให้ประชาชนทั่วไปได้เริ่มรู้จักกับยอดนักร้องที่มีน้ำเสียงที่ไพเราะจับใจ
คนใหม่ และเพิ่มความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนอกเวลาราชการ
คุณเพ็ญศรีก็ได้เริ่มร้องเพลงให้กับวงดนตรีรัตนศิลป์ ของ ครูแก้ว
อัจฉริยกุล ที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร โดยขับร้องเพลง “ เสียงสะอื้น ”
ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ทำนองโดย ครูเอื้อ สุนทรสนาน และคำร้องโดย ครูแก้ว
อัจฉริยกุล เป็นเพลงแรก
ครั้นถึงปี ๒๔๙๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้คุณเพ็ญศรีขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์เพลง “ สายฝน ”
ซึ่งเพิ่งได้ทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ก่อนหน้านั้นไม่นาน
โดยเป็นการร้องสดในรายการบรรเลงดนตรีรายการหนึ่ง หลังจากนั้น ในปี ๒๔๙๑
จึงได้ขับร้องเพลงนี้บันทึกแผ่นเสียงกับห้างแผ่นเสียงนำชัย
นับเป็นงานสำคัญในยุคแรกๆ
ของการทำงานที่คุณเพ็ญศรีมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นชื่อเสียงของคุณเพ็ญศรีก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
กล่าวได้ว่าเกือบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ” เลย
ในช่วงปี ๒๔๙๔-๒๔๙๕ งานร้องเพลงก็ประดังเข้ามาหาคุณเพ็ญศรีมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่านได้ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงเพิ่มขึ้น
และยังได้เข้าร่วมงานกับละครคณะชุมนุมศิลปิน ซึ่งเป็นคณะละครเวทีของ
คุณสุวัฒน์ วรดิลก โดยคุณเพ็ญศรีรับหน้าที่ทั้งร้องเพลงประกอบการแสดง
และร่วมแสดงด้วย
แต่เนื่องจากทางราชการไม่อนุญาตให้ข้าราชการไปแสดงละครกับเอกชน
ท่านจึงตัดสินใจลาออกจากราชการเพื่อไปร่วมงานกับ คุณสุวัฒน์ วรดิลก
อย่างเต็มตัว ในระยะนั้นเองทั้งคุณเพ็ญศรี และคุณสุวัฒน์ก็เกิดความรักใคร่
เห็นอกเห็นใจกันจึงได้ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
และอยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมาตราบจนทุกวันนี้
แม้ว่าจะลาออกจากราชการไปแล้ว หากทางการมีงานสำคัญๆ
คุณเพ็ญศรีก็มักจะได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วยเสมอ เช่น
ได้รับเชิญให้ไปขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์เพื่อบันทึกแผ่นเสียงอีกหลายครั้ง
ชีวิตและงานของคุณเพ็ญศรีซึ่งกำลังรุ่งโรจน์เป็นอย่างยิ่ง
ก็หาได้ราบรื่นไปจนตลอดรอดฝั่งไม่ เพราะในช่วงหนึ่ง
ทั้งท่านเองและคุณสุวัฒน์ก็ต้องประสบกับมรสุมทางการเมือง มีอันต้องถูกจองจำ
ขาดอิสรภาพไประยะหนึ่ง ซึ่งท่านได้เล่าด้วยความขมขื่นว่า
ทั้งท่านและคุณสุวัฒน์ถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งทางการเมืองด้วยข้อหาที่รุนแรง
แต่ปราศจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
อันมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่คุณสุวัฒน์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎร
ภายหลังจากที่มรสุมใหญ่ในชีวิตพัดผ่านไปแล้ว
ท้องฟ้าก็กลับแจ่มใสดังเดิม
ชีวิตการงานของคุณเพ็ญศรีก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยในปี ๒๕๐๖
หลังจากที่ได้รับอิสรภาพแล้วท่านได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน (
รองชนะเลิศ) จากเพลง “ วิหคเหิรลม ” และเพลง “ ม่านไทรย้อย ” ต่อมาในปี
๒๕๐๘ ท่านก็ได้รับรางวัลชนะเลิศแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลง “ ง้อรัก ”
ทั้งยังได้รับพระราชทานรางวัลดาราทองพิเศษในฐานะผู้มีงานร้องเพลงดีเด่นใน
รอบปี ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงอีกด้วย และในเวลาต่อมา
คุณเพ็ญศรีได้จัดตั้งโรงเรียนสอนการร้องเพลงเล็กๆ ขึ้น ให้ชื่อว่า “
ศกุนตลา ” โดยเปิดสอนให้แก่บุคคลทั่วไปที่สนใจการขับร้อง
ทำให้มีนักร้องใหม่ๆ ที่มีความสามารถเกิดขึ้นมาหลายคน
นอกจากงานสอนร้องเพลงแล้ว
ท่านยังได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงเพื่อช่วยงานการกุศลและสาธารณประโยชน์ต่างๆ
อย่างสม่ำเสมอตลอดมา
อีกทั้งเคยได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมนักร้องแห่งประเทศไทยติดต่อกันถึง ๓
สมัยอีกด้วย
ผลงานเพลง : เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แก่เพลง
สายฝน ดวงใจกับความรัก เทวาพาคู่ฝัน มหาจุฬาลงกรณ์ ความฝันอันสูงสุด และ
อาทิตย์อับแสง เป็นต้น
ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น ใต้ร่มมลุลี สุดรำพัน ธนูรัก รำพันสวาท
ห่วงรักห่วงอาลัย พิษรัก ยาใจยาจก กำสรวลสวาท ศรกามเทพ หาดสงขลา
ผู้ที่พระเจ้าลืม โอ้ยอดรัก หงส์ทอง เมื่อเธอกลับมา เดือนดวงเด่น หงส์เหิร
ชื่นตาฟ้างาม จันทร์ข้างแรม รำพึง ชายหาด ฝากรัก ชื่นสุข ชะตาฟ้า เพื่อเธอ
ม่านไทรย้อย คนจะรักกัน ศกุนตลา ดึกแล้วคุณขา จันทร์เจ้าขา เหยื่อกามเทพ
โพระดก ลาทีความรัก ทาสรัก พระจันทร์ร้องไห้ วิหคเหิรลม รักข้ามแดน
หนามชีวิต อยากจะรักสักครั้ง พ่อแง่แม่งอน สัญญารัก สาบานรัก รักลวง ฯลฯ
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณเพ็ญศรีร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงมาจนถึง
ปัจจุบันนี้ เป็นเวลาเกือบ ๖๐ ปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านได้ฝึกฝน
และเพาะบ่มสั่งสมประสบการณ์ทางด้านการขับร้องเพลงไทยสากลมาเป็นอย่างดี
ประกอบกับความเป็นผู้มีอัจฉริยภาพและพรสวรรค์อันพิเศษ
ทั้งในด้านเทคนิคการขับร้องเพลงและน้ำเสียงอันไพเราะ
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
ทำให้ท่านเป็นนักร้องสตรีที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ได้รับความนิยมสูงที่สุดท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงไทยสากล
และเมื่อประสบความสำเร็จถึงขีดสุดแล้ว
ท่านก็ยังได้ช่วยชี้แนะแนวทางและถ่ายทอดเทคนิคตลอดจนวิธีการขับร้องเพลงให้
แก่นักร้องรุ่นหลัง
นับเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเหมาะสมกับการเป็นศิลปินแห่งชาติทุก
ประการ
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติจึงได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ท่าน
เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (เพลงไทยสากล-ขับร้อง)
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๔
ความเป็นหนึ่งและความเป็นเอกในด้านการขับร้องของนักร้องแต่ละคนล้วนมี
เอกลักษณ์เป็นของตนเอง
บนความเป็นหนึ่งและความเป็นเอกในด้านการขับร้องของนักร้องแต่ละคนล้วนมี
เอกลักษณ์เป็นของตนเอง
บนพื้นฐานของการใช้เทคนิคการขับร้องเบื้องต้นในลักษณะเดียวกัน
ส่วนในขั้นก้าวหน้าหรือขั้นสูงกว่านั้นนักร้องแต่ละคนจะประยุกต์เทคนิคต่างๆ
ที่เป็นของตนเองขึ้นมา
ซึ่งทำให้เกิดความต่างที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวพื้นฐานของการใช้เทคนิคการ
ขับร้องเบื้องต้นในลักษณะเดียวกัน
ส่วนในขั้นก้าวหน้าหรือขั้นสูงกว่านั้นนักร้องแต่ละคนจะประยุกต์เทคนิคต่างๆ
ที่เป็นของตนเองขึ้นมา ซึ่งทำให้เกิดความต่างที่เป็นลักษณะประจำตัว
…" เพ็ญศรี พุ่มชูศรี" เ ป็น
หนึ่งในผู้ที่มีเทคนิคการขับร้องขั้นสูง
และสามารถใช้เทคนิคเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
จึงทำให้มีความเป็นหนึ่งตลอดมา ส่วนความเป็นเอกนั้น คือ การมี "ทาง"
ของตนเอง
ซึ่งทำให้สามารถกุมอารมณ์ของผู้ฟังและคุมบรรยากาศของการแสดงไว้ได้ตลอด
เวลา...
ฉายแววแต่ครั้งเยาว์วัย
ครูสมาน (ใหญ่) นภายน เล่าให้ฟังว่า ราวอายุสัก ๑๐ ขวบ
เด็กหญิงผ่องศรี พุ่มชูศรี ได้เริ่มต้นฝึกหัดร้องเพลง
เนื่องด้วยเป็นเด็กที่มีแก้วเสียงดี ร้องเพลงเพราะ
สามารถจำเพลงละครร้องของครูพรานบูรพ์ได้อย่างแม่นยำด้วยลีลาและเสียง
ดังนั้น...ครูศิวะ วรนาฏ จึงได้รับเด็กหญิงตัวน้อยๆ นี้ไว้เป็นศิษย์
และฝึกสอนให้ร้องเพลงอย่างถูกจังหวะ
เพราะจังหวะนั้นถือเป็นหัวใจสำหรับนักร้องและนักดนตรีที่จะเดินทางไปสู่ความ
สำเร็จในด้านการขับร้องและในด้านการบรรเลง
นอกจากนี้ยังต้องร้องอักขระให้ถูกต้องตามบทเพลง
พร้อมทั้งวิธีการเปล่งเสียงสั้น-ยาว-เบา-แรง
ว่าสมควรจะนำมาใช้ในส่วนของทำนองเพลง ในบทเพลงนั้นๆ
พรสวรรค์...พรแสวง
เด็กหญิงผ่องศรี พุ่มชูศรี เป็นเด็กหัวไว
จดจำทุกคำที่ครูพร่ำสอนไว้ในบทเพลงนั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ
สามารถนำไปร้องเพลงประกวดตามงานวัด ทั้งวัดอินทร์ บางขุนพรหม
วัดจางวางศิษฐ์ วรจักร วัดสามปลื้ม วัดหัวลำโพง
จนกระทั่งไปถึงมหาวิทยาลัยร้องเพลงของชาวบ้านก็คือวัดสระเกศ
หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "ภูเขาทอง"
ซึ่งใครที่มีความสามารถผ่านวัดนี้ไปได้ก็จะสามารถไปร้องเพลงสลับหน้าม่านหา
กินได้อย่างสบายๆ จนกระทั่งนักร้องรุ่นพี่หลายคน เช่น อ.เอี่ยวพญา หรือ ชาญ
เย็นแข ตรีเพ็ชร หรือตาล กิ่งเพ็ชร แสงนภา บุญราศี
เขียนไว้ว่าเมื่อไปสมัครร้องเพลงที่วัดไหน
ถ้าเห็นชื่อเด็กหญิงผ่องศรีมาสมัคร
พวกเขาจะรีบถอนตัวทันทีเพราะกลัวจะร้องแล้วแพ้เด็ก...นี่คืออิทธิพลของเสียง
ร้องเพลงจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ
ที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังกลัว...เจ้าหนูเสียงใสคนนี้จึงมีถ้วยรางวัลชนะเลิศในการ
ประกวดร้องเพลงตามงานวัดหลายสิบใบ ขณะที่มีอายุเพียงแค่ ๑๐ ขวบ เท่านั้น
ต่อมาจึงได้ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็นนัก
ร้อง ชื่อเพลง "ศีลธรรมทั้ง ๕ " ด้วยฝีมือการแต่งเพลงของ "ศิวะ วรนาฏ"
นับแต่นั้นมาเด็กหญิงผ่องศรี จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "เด็กหญิงเพ็ญศรี
พุ่มชูศรี" และใช้ชื่อนี้ในการขับร้องเพลงเรื่อยมา
มีเสียงเป็นทรัพย์
ราวปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คุณพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุจนต้องตัดแขนทิ้ง
นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ด้วยความยากจนและพิการ
ไม่สามารถที่จะหาเงินมาเป็นค่ารักษาและค่ายา
หนทางเดียวเท่านั้นที่เธอจะทำได้คือการเข้าไปนั่งคุกเข่าร้องเพลงให้นาย
แพทย์สมหวัง ฉายะจินดา ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยน้ำเสียงที่ใสดั่งดวงแก้ว
ทำให้คุณหมอเกิดจิตเมตตาถึงกับเอ่ยปากยกค่ายาและค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด
นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยๆ
ทำเสียงของเธอให้เป็นทรัพย์ขึ้นมา
จากนั้นกิตติศัพท์ของเธอจึงเลื่องลือไปทั่ว
ในด้านการใช้เสียงร้องเพลงดังกระฉ่อนไปทั่วกรุง
ได้เป็นนักร้องเต็มตัว
เมื่อย่างเข้าวัยสาวเธอจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นนักร้องของวงดนตรี
ลีลาศกรมโฆษณาการ ขณะนั้นมีครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นหัวหน้าวง และครูเวส
สุนทรจามร เป็นผู้ช่วยหัวหน้าวง ท่านทั้งสองได้รับนางสาวเพ็ญศรี พุ่มชูศรี
ไว้เป็นศิษย์ และเคี่ยวเข็ญ พร่ำสอนการขับร้องทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ
จนเป็นที่น่าพอใจ ครูเวสจึงมอบเพลง "หงส์เหิน" ให้ร้อง
นับแต่นั้นมาก็มีนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงมากมายมอบเพลงให้เธอร้อง
ส่งผลให้เธอเป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เปรียบประดุจ "จิตรกร"
ผู้ระบายสีใส่ในทำนองของบทเพลง ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงของครูเพลงท่านใด
เธอก็สามารถบรรจงวาดสีสันให้บทเพลงนั้นสดสวยยิ่งขึ้น
เกินกว่าที่ครูเพลงวาดฝันไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดานักแต่งเพลงทั้งหลายจึงมอบความไว้วางใจให้แก่เธอผู้
เดียว เพื่อที่บทเพลงของครูเพลงเหล่านั้นจะกลายเป็นบทเพลง "อมตะ"
ที่ไม่มีวันตายไปจากโลกบันเทิง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า "เพ็ญศรี พุ่มชูศรี"
คือ
" คีตศิลปิน"
ท่านหนึ่งที่มากด้วยความสามารถและยากที่จะหาใครเปรียบเสมือนได้
ด้วยความมีอัจฉริยภาพในการขับร้องเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลสูงต่อวงการ
เพลงไทยสากลนี้เองทำให้ โครงการวิจัย
"การวิจารณ์ในฐานะพลังทางปัญญาของสังคมร่วมสมัย ภาค ๒ "
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
จัดการสัมมนาทางวิชาการ "เพ็ญศรีวิชาการ" และการแสดงดนตรี "แด่เพ็ญศรี
คีตศิลปิน" ขึ้น
โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและเกี่ยวข้องกับวงการเพลงไทยสากล
รวมทั้งศิลปินนักร้องมาร่วมเสวนาวิเคราะห์และวิจารณ์ผลงานเพลงของเพ็ญศรี
พุ่มชูศรี อย่างเป็นวิชาการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งได้ข้อสรุปไปในแนวทางเดียวกันว่า " เพ็ญศรี พุ่มชูศรี"
คือสุดยอดแห่งคีตศิลปินของวงการเพลงไทยสากลอย่างแท้จริง.
นับเป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแล้ว ที่เด็กหญิงวัย ๘
ขวบคนหนึ่งผู้มีพรสวรรค์พิเศษทางด้านการร้องเพลง
ได้เริ่มต้นแสดงความสามารถต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกด้วยการเข้าประกวด
ร้องเพลงตามงานวัดต่างๆ โดยใช้นามว่า “ ผ่องศรี พุ่มชูศรี ”
จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนคนนั้น มาจนถึงวันนี้
เธอได้กลายมาเป็นนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นดาวค้างฟ้า
และประสบความสำเร็จที่สุดผู้หนึ่งของเมืองไทย
ด้วยนามที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อยคือ “ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ” หรือ “ ป้าโจ๊ว ”
ของผู้ที่รู้จักมักคุ้นและเคารพนับถือ
คุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี หรือ “ ป้าโจ๊ว ” เกิดที่จังหวัดพิษณุโลก
เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๒ ปัจจุบันอายุ ๗๑ ปี
หลังจากที่ท่านเรียนจบระดับมัธยมที่โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรีพิษณุโลกแล้ว
ครอบครัวของท่านก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
แต่เนื่องจากฐานะของทางบ้านค่อนข้างขัดสน
ป้าโจ๊วจึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ อย่างไรก็ตาม
ด้วยความที่มีความสนใจและสามารถร้องเพลงได้ดีตั้งแต่เล็กๆ
ป้าโจ๊วจึงได้เข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัดต่างๆ ตั้งแต่อายุเพียง ๘ ปี
โดยใช้นามว่า “ ผ่องศรี พุ่มชูศรี ”
และประสบความสำเร็จได้รับรางวัลชนะเลิศหลายสิบครั้ง
จนเกือบจะหาคู่แข่งมาเทียบเคียงไม่ได้ จากความสามารถอันโดดเด่นนี้
ทำให้มีผู้ทาบทามให้ไปร้องเพลงอัดแผ่นเสียงเป็นครั้งแรก เมื่อปี ๒๔๘๔
ขณะที่อายุเพียง ๑๒ ปี โดยร้องเพลงชื่อ “ ศีลธรรมทั้งห้า ”
ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ทั้งคำร้องและทำนอง โดย ศิวะ วรนาฏ
โดยได้รับเงินค่าตอบแทน ๕ บาท จากนั้น อีกประมาณ ๑ ปีถัดมา คือช่วงปี ๒๔๘๕
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย
บริษัทมิตซุย ซึ่งเป็นบริษัทของญี่ปุ่น
ก็ได้ว่าจ้างให้ป้าโจ๊วไปขับร้องเพลงเป็นประจำในค่ายทหารญี่ปุ่น
โดยให้เงินเดือน ๔๕ บาท ครั้นถึงปี ๒๔๘๗
ป้าโจ๊วก็ได้ไปสมัครเป็นนักร้องประจำวงดนตรีสากลของกรมโฆษณาการ
โดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของ ครูเวส สุนทรจามร
และได้รับการบรรจุให้เป็นข้าราชการสามัญ
ทำหน้าที่ร้องเพลงกับวงดนตรีกรมโฆษณาการ ซึ่งมี ครูเอื้อ สุนทรสนาน
เป็นหัวหน้าวง ต่อมาก็ได้ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงที่ห้าง ต.เง็กชวน
ส่งผลให้ผลงานเพลงที่ท่านร้อง เริ่มเผยแพร่ออกไปเรื่อยๆ
ทำให้ประชาชนทั่วไปได้เริ่มรู้จักกับยอดนักร้องที่มีน้ำเสียงที่ไพเราะจับใจ
คนใหม่ และเพิ่มความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนอกเวลาราชการ
ป้าโจ๊วก็ได้เริ่มร้องเพลงให้กับวงดนตรีรัตนศิลป์ ของ ครูแก้ว อัจฉริยกุล
ที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร โดยขับร้องเพลง “ เสียงสะอื้น ”
ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ทำนองโดย ครูเอื้อ สุนทรสนาน และคำร้องโดย ครูแก้ว
อัจฉริยกุล เป็นเพลงแรก
ครั้นถึงปี ๒๔๙๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ป้าโจ๊วขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์เพลง “ สายฝน ”
ซึ่งเพิ่งได้ทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ก่อนหน้านั้นไม่นาน
โดยเป็นการร้องสดในรายการบรรเลงดนตรีรายการหนึ่ง หลังจากนั้น ในปี ๒๔๙๑
จึงได้ขับร้องเพลงนี้บันทึกแผ่นเสียงกับห้างแผ่นเสียงนำชัย
นับเป็นงานสำคัญในยุคแรกๆ ของการทำงานที่ป้าโจ๊วมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นชื่อเสียงของป้าโจ๊วก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
กล่าวได้ว่าเกือบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ” เลย
ในช่วงปี ๒๔๙๔-๒๔๙๕ งานร้องเพลงก็ประดังเข้ามาหาป้าโจ๊วมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่านได้ร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงเพิ่มขึ้น
และยังได้เข้าร่วมงานกับละครคณะชุมนุมศิลปิน ซึ่งเป็นคณะละครเวทีของ
คุณสุวัฒน์ วรดิลก โดยป้าโจ๊วรับหน้าที่ทั้งร้องเพลงประกอบการแสดง
และร่วมแสดงด้วย
แต่เนื่องจากทางราชการไม่อนุญาตให้ข้าราชการไปแสดงละครกับเอกชน
ท่านจึงตัดสินใจลาออกจากราชการเพื่อไปร่วมงานกับ คุณสุวัฒน์ วรดิลก
อย่างเต็มตัว ในระยะนั้นเองทั้งป้าโจ๊ว และคุณสุวัฒน์ก็เกิดความรักใคร่
เห็นอกเห็นใจกันจึงได้ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
และอยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมาตราบจนทุกวันนี้
แม้ว่าจะลาออกจากราชการไปแล้ว หากทางการมีงานสำคัญๆ
ป้าโจ๊วก็มักจะได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วยเสมอ เช่น
ได้รับเชิญให้ไปขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์เพื่อบันทึกแผ่นเสียงอีกหลายครั้ง
ชีวิตและงานของป้าโจ๊วซึ่งกำลังรุ่งโรจน์เป็นอย่างยิ่ง
ก็หาได้ราบรื่นไปจนตลอดรอดฝั่งไม่ เพราะในช่วงหนึ่ง
ทั้งท่านเองและคุณสุวัฒน์ก็ต้องประสบกับมรสุมทางการเมือง มีอันต้องถูกจองจำ
ขาดอิสรภาพไประยะหนึ่ง ซึ่งท่านได้เล่าด้วยความขมขื่นว่า
ทั้งท่านและคุณสุวัฒน์ถูกใส่ร้ายจากคู่แข่งทางการเมืองด้วยข้อหาที่รุนแรง
แต่ปราศจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
อันมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่คุณสุวัฒน์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎร
ภายหลังจากที่มรสุมใหญ่ในชีวิตพัดผ่านไปแล้ว
ท้องฟ้าก็กลับแจ่มใสดังเดิม
ชีวิตการงานของป้าโจ๊วก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยในปี ๒๕๐๖
หลังจากที่ได้รับอิสรภาพแล้วท่านได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน
(รองชนะเลิศ) จากเพลง “ วิหคเหิรลม ” และเพลง “ ม่านไทรย้อย ” ต่อมาในปี
๒๕๐๘ ท่านก็ได้รับรางวัลชนะเลิศแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลง “ ง้อรัก ”
ทั้งยังได้รับพระราชทานรางวัลดาราทองพิเศษในฐานะผู้มีงานร้องเพลงดีเด่นใน
รอบปี ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงอีกด้วย และในเวลาต่อมา
ป้าโจ๊วได้จัดตั้งโรงเรียนสอนการร้องเพลงเล็กๆ ขึ้น ให้ชื่อว่า “ ศกุนตลา ”
โดยเปิดสอนให้แก่บุคคลทั่วไปที่สนใจการขับร้อง ทำให้มีนักร้องใหม่ๆ
ที่มีความสามารถเกิดขึ้นมาหลายคน นอกจากงานสอนร้องเพลงแล้ว
ท่านยังได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงเพื่อช่วยงานการกุศลและสาธารณประโยชน์ต่างๆ
อย่างสม่ำเสมอตลอดมา
อีกทั้งเคยได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมนักร้องแห่งประเทศไทยติดต่อกันถึง ๓
สมัยอีกด้วย
เพลงที่ป้าโจ๊วได้ร้องมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีมากมายจนกล่าวได้ว่า
นับไม่ถ้วน แต่จะขอหยิบยกเพลงเด่นๆ
ที่ท่านเคยได้ร้องบันทึกแผ่นเสียงมาเป็นตัวอย่างดังนี้
เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แก่เพลง สายฝน
ดวงใจกับความรัก เทวาพาคู่ฝัน มหาจุฬาลงกรณ์ ความฝันอันสูงสุด และ
อาทิตย์อับแสง เป็นต้น
นอกจากเพลงพระราชนิพนธ์แล้ว ยังมีเพลงที่ประพันธ์โดยบรมครูเพลงหลายท่านทั้งในอดีตและ
ปัจจุบัน ได้แก่เพลง ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น ใต้ร่มมลุลี สุดรำพัน
ธนูรัก รำพันสวาท ห่วงรักห่วงอาลัย พิษรัก ยาใจยาจก กำสรวลสวาท ศรกามเทพ
หาดสงขลา ผู้ที่พระเจ้าลืม โอ้ยอดรัก หงส์ทอง เมื่อเธอกลับมา เดือนดวงเด่น
หงส์เหิร ชื่นตาฟ้างาม จันทร์ข้างแรม รำพึง ชายหาด ฝากรัก ชื่นสุข ชะตาฟ้า
เพื่อเธอ ม่านไทรย้อย คนจะรักกัน ศกุนตลา ดึกแล้วคุณขา จันทร์เจ้าขา
เหยื่อกามเทพ โพระดก ลาทีความรัก ทาสรัก พระจันทร์ร้องไห้ วิหคเหิรลม
รักข้ามแดน หนามชีวิต อยากจะรักสักครั้ง พ่อแง่แม่งอน สัญญารัก สาบานรัก
รักลวง ฯลฯ
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ป้าโจ๊วร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
นี้ เป็นเวลาเกือบ ๖๐ ปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านได้ฝึกฝน
และเพาะบ่มสั่งสมประสบการณ์ทางด้านการขับร้องเพลงไทยสากลมาเป็นอย่างดี
ประกอบกับความเป็นผู้มีอัจฉริยภาพและพรสวรรค์อันพิเศษ
ทั้งในด้านเทคนิคการขับร้องเพลงและน้ำเสียงอันไพเราะ
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
ทำให้ท่านเป็นนักร้องสตรีที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ได้รับความนิยมสูงที่สุดท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงไทยสากล
และเมื่อประสบความสำเร็จถึงขีดสุดแล้ว
ท่านก็ยังได้ช่วยชี้แนะแนวทางและถ่ายทอดเทคนิคตลอดจนวิธีการขับร้องเพลงให้
แก่นักร้องรุ่นหลัง
นับเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเหมาะสมกับการเป็นศิลปินแห่งชาติทุก
ประการ
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติจึงได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ท่าน
เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (เพลงไทยสากล-ขับร้อง)
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๔
หากท่านผู้อ่านได้ติดตามคอลัมน์นี้มาโดยตลอด
คงจะจำกันได้ว่าเมื่อครั้งที่ผมได้ไปถ่ายภาพ คุณสุวัฒน์ วรดิลก
เมื่อปีเศษที่ผ่านมา
ผมได้เล่าเอาไว้ว่าผมได้ถ่ายภาพป้าโจ๊วด้วยในคราวเดียวกัน
แต่ปรากฏว่าภาพที่ได้ไม่เป็นที่พอใจของผม เนื่องจากในวันนั้น
ป้าโจ๊วไม่ได้แต่งตัวและเสริมสวยเท่าที่ควร
ภาพที่ได้จึงดูไม่สง่างามเท่าที่ผมเคยเห็นท่าน
ดังนั้นผมจึงได้ขอโอกาสถ่ายภาพท่านใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้
ผมได้จัดหาช่างแต่งหน้าทำผมไปให้ท่านด้วย
ซึ่งท่านก็ได้นัดให้ผมไปถ่ายภาพท่านยังสถานที่เดิมคือโรงแรมศรีราชาลอดจ์
อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เมื่อได้พบหน้าผมอีกครั้ง
ป้าโจ๊วก็ทักทายพร้อมกับหัวเราะชอบใจกับข้อความที่ผมเขียนวิงวอนให้ท่านผู้
อ่านช่วยกันเรียกร้องให้ป้าโจ๊วยอมให้ผมถ่ายรูปใหม่อีกครั้ง
ที่ผมเขียนไว้ตอนท้ายบทความฉบับ คุณสุวัฒน์ วรดิลก
เนื่องจากผมกังวลว่าท่านอาจไม่อยากให้ถ่ายภาพอีกเพราะท่านเป็นคนไม่ชอบถูก
ถ่ายภาพ พร้อมทั้งถามว่ามีคนเขียนมาบ้างไหม ซึ่งผมก็เรียนว่ามีหลายราย
ท่านก็ยังคงหัวเราะอย่างขบขันต่อไป พร้อมทั้งกล่าวว่า “
นึกว่าจะเข็ดป้าไม่มาถ่ายใหม่เสียแล้ว ”
และยังเล่าว่าในวันนั้นท่านอยู่บ้านที่ศรีราชา ซึ่งไม่มีชุดสวยๆ เตรียมไว้
เพราะบรรดาเสื้อผ้าที่ใช้ออกงานทั้งหลายนั้น
ท่านเก็บไว้ที่บ้านในกรุงเทพฯไม่มีเก็บไว้ที่ศรีราชาเลย
ระหว่างที่ช่างกำลังแต่งหน้าให้ป้าโจ๊ว
จักรกฤษณ์กับผมก็จัดกล้องและไฟถ่ายภาพไปพลาง
โดยผมตั้งใจว่าจะถ่ายภาพป้าโจ๊วให้เข้าคู่กับภาพคุณสุวัฒน์ที่ถ่ายไว้ก่อน
หน้านี้แล้ว
เพื่อที่ว่าเวลาจัดแสดงในนิทรรศการที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
จะได้จัดภาพท่านทั้ง ๒ ไว้คู่กันอย่างลงตัว ซึ่งก็ไม่มีอะไรยากลำบาก
เพราะสถานที่ถ่ายภาพก็เป็นที่เดิม
และผมก็ได้นำภาพคุณสุวัฒน์ติดไปด้วยเพื่อเอาไว้ดูเป็นแนวทาง
เมื่อถึงเวลาถ่ายภาพ ป้าโจ๊วก็ถามว่าจะให้สวมแว่นตาหรือไม่
ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าอย่างไรจะดีกว่ากัน จึงขอท่านถ่ายทั้ง ๒ แบบ
เพื่อจะได้มีทางเลือกที่ดีที่สุด และแล้วผมก็ได้ภาพป้าโจ๊วสมใจ
หลังจากที่เว้นช่วงจากการถ่ายภาพท่านครั้งแรกถึงปีครึ่ง
เมื่อเสร็จงานกันแล้ว
ป้าโจ๊วก็ได้ชวนพวกเรารับประทานอาหารกลางวันกันที่โรงแรมศรีราชาลอดจ์นั้น
เอง ซึ่งเมนูเด็ดที่ป้าโจ๊วแนะนำให้พวกเราได้ลิ้มลองก็คือขาหมู หมั่นโถว
และหมูมะนาว ซึ่งตอนแรก จักรกฤษณ์และผมก็มีทีท่าลังเลกับขาหมูชิ้นงามนั้น
แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ถูกจัดการจนเรียบร้อยไม่เสียของ
ป้าโจ๊วเล่าให้ฟังด้วยว่าท่านมาร้องเพลงที่โรงแรมนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ
ครั้ง ดังนั้น หากท่านผู้อ่านอยากพบกับตัวจริงเสียงจริงของท่าน
ก็ลองสอบถามตารางเวลาจากทางโรงแรมศรีราชาลอดจ์กันดูนะครับ
รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
ทุกวันนี้ ท่ามกลางกระแสความนิยมในแนวเพลงยุคใหม่
ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ป้าโจ๊ว ซึ่งแม้จะมีวัยล่วงเลยมาเกือบจะถึง
๖ รอบแล้ว ก็ยังคงร้องเพลงอมตะที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับท่าน
ด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่สร่างซา
และยังคงครองความเป็นนักร้องยอดนิยมในดวงใจของแฟนเพลงร่วมสมัยของท่านอย่าง
ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอขอบพระคุณ
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เอื้อเฟื้อข้อมูล
บริษัทโกดัก (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนผลิตภัณฑ์ถ่ายภาพ
คุณบันลือ อุตสาหจิต แห่งบริษัทศรีสยามพริ้นท์แอนด์แพคก์ จำกัด อุปถัมภ์โครงการ
นางเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล-ขับร้อง) พุทธศักราช ๒๕๓๔
โดย นิติกร กรัยวิเชียร
ฉบับท ี่
2426 ปีที่ 47 ประจำวัน อังคาร ที่ 17 เมษายน 2544
http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=576&stissueid=2426&stcolcatid=2&stauthorid=9

ลายเซ็นป้าโจ๊วสวยจัง
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ( เพลงไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปีพุทธศักราช 2534
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒
ที่จังหวัดพิษณุโลก เป็นทั้งนักร้อง และครูสอนขับร้องเพลงไทยสากล
ได้ผลิตผลงานดีเด่น เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปเป็นเวลาติดต่อกันมากกว่า
๕๐ ปี จนถึงทุกวันนี้
มีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาศิลปะการขับร้องเพลงไทยสากล
ประกอบด้วยความสามารถสูงส่งในกระบวนการขับร้อง
มีกระแสเสียงที่แจ่มใสไพเราะพร้อมด้วยความชัดเจนในการถ่ายทอดความงามแห่งคีต
ศิลป์ไทยอันเป็นวัฒนธรรมของชาติให้ผสานผสมกลมกลืนเข้ากับลักษณะของดนตรี
ตะวันตก เกิดเป็นผลงานการขับร้องที่งดงาม
ชัดเจนมีเสน่ห์ชวนฟังและที่สำคัญยิ่งคือความสามารถแสดงออกถึงเอกลักษณ์แห่ง
ความเป็นไทยแลไทยสากลทุกรูปแบบ
เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์
ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
มาตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการบันทึกแผ่นเสียงนับเป็นแบบฉบับสำคัญในการขับร้อง
เพลงไทยสากล สามารถยึดถือเป็นตัวอย่างที่ดีได้มาจนทุกวันนี้
จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง ( เพลงไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๔
เพลง"ศกุนตลา"
บันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2507 โดย เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
คำร้อง : ทวีป วรดิลก
ทำนอง : เอื้อ สุนทรสนาน
ขับร้อง : เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
ศกุนตลา นางฟ้าแมกฟ้าฤๅไฉน
เดินดินนางเดียวเปลี่ยวใจ นางไม้ แมกไม้มิได้ปาน
น้ำค้าง ค้างกลีบกุหลาบอ่อน คือเนตรบังอรหยาดหวาน
โอษฐ์อิ่ม พริ้มรัตต์ชัชวาล เพลิงบุณย์ อรุณกาลผ่านทรวง
ศกุนตลา นางฟ้าแมกฟ้าจากสรวง
คลื่นสมุทรสุดฤทัยไหวปวง คือทรวงนางสะท้อนถอนใจ
ยอดมณีศรีศิลป์ปิ่นสวรรค์ หล่อหลอมจอมขวัญผ่องใส
คือแก้วแพร้วพร่างกระจ่างใจ อาบไอ อมฤต นิจนิรันดร์

หนังสือ ชีวิตเหมือนละคร ๓๐ปี เพ็ญศรี-รพีพร ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๔

หนังสือ ชีวิตเหมือนละคร ๕๐ปี เพ็ญศรี-รพีพร ๒ ศิลปินแห่งชาติ และวันคล้ายวันเกิดครบรอบ ๗๘ ปี สุวัฒน์ วรดิลก ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๔
ไหนไหนก็เขียนเรื่องเพลงที่คุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ขับร้องแล้วขอฝากข้อมูลอีกนิดให้พิจารณาสักหน่อยครับ
พรานบูรพ์
ปกแผ่นเสียง ” จันทร์เจ้าขา ”
ปกซีดี ” จันทร์เจ้า ขา ” ค่าย CVD
ซีดีแผ่นนี้ผมอยากให้นำกลับมาผลิตจำหน่ายอีกครั้งเพราะเพลงเก่าดีและอีกประการเป็นการบันทึกเสียงแบบ
สเตอริโอรุ่นแรกแรกลองหามาฟังสิครับ เจ้าของลิขสิทธิ์คือ บริษัท กมลสุโกศล จำกัด
แม่ไม้เพลงไทยครับหากท่านได้ลิขสิทธิ์ละก็เอาออกมาเผยแพร่สักชุดนะครับ
๑ จันทร์เจ้าขา ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร/เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
เพลงจันทร์เจ้าขา
ญ. เออ น่าอายน่าขัน จริงนะ จันทร์เจ้าขา หลบหน้าหน่อยซิเจ้าคะ
ช. เราจะกระซี้ กระซิก
พ. ระริกระรื่น รื่น
ญ. ชื่นใจ
ช. ชื่นใจ จันทร์เจ้าขา ให้เจียมบอกข้าอีกซ้ำ ซาบซ่านหวนฉ่ำคำ น้องรักพี่
ญ . จันทร์เจ้าขา ให้จิตบอกข้าอีกที หวานล้ำทวีคำพี่รักน้อง
ช. เอียงหน้ามาซิ พี่จะกระซิบเบาๆ
ญ . อุ๊ย ไม่เอา ไม่เอา ดูนั่น จันทร์เจ้าคอยจ้อง
ช. ของสงวนของน้อง นั่นควรเสนอสนอง
ญ. อุ๊ย อุ๊ย อย่ามอง ดิฉัน ซิคะ จันทร์เจ้าขา
ช. โอ้จันทร์เจ้าขา ไม่เวทนาข้าหรือว่าไร
ญ . หลบหน้าหน่อยซิเจ้า คะ
ช. เราจะกระซี้กระซิก
พ . ระริกระรื่น รื่น
ญ. ชื่นใจ
ช. ชื่น...ใจ
พ. จริงนะ จันทร์เจ้าขา
เพลงนี้บันทึกลงแผ่นเสียงขี้ผึ้งครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗
ผู้ขับร้อง คือ ประทุม ประทีปเสน(นางเอก)และมณี แพ่งสุภา(พระเอก)
ต่อมาบันทึกเป็นครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ โดยประทุม ประทีปเสน และสมชาย
ตัณฑ์กำเนิด ต่อมา นริส อารีย์และ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี บันทึกไว้เป็นครั้งที่
๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ และชรินทร์ นันทนาครและ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
บันทึกอีกครั้งในระบบเสียงสเตอริโอ
เพลงจันทร์เจ้าขา จากละครเพลงเรื่องนี้ มาลัย ชูพินิจ
นักหนังสือผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทยในยุคนั้น เขียนชมเชยไว้ว่า
ได้รับความนิยมแพร่ไปกว้างไกล แม้กระทั่งในชนบท ป่าเขาที่ห่างไกลเมืองหลวง
ก็ยังมีคนนำไปร้องกันอยู่อย่างน่าแปลกใจ
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบในละครเพลง ดังนั้น พรานบูรพ์
จึงนำเอาชื่อตัวละคร ตัวเอก ทั้งพระ และนางเอก มาใส่ไว้ในเนื้อเพลงด้วยคือ
“... ชื่นใจ จันทร์เจ้าขา ให้ “ เจียม ” บอกข้าอีกซ้ำ ซาบซ่านหวานฉ่ำคำน้องรักพี่
จันทร์เจ้าขา ให้ “ จิต ” บอกข้า อีกที หวานล้ำฉ่ำทวี คำพี่รักน้อง... ”
และเพราะเป็นเพลงประกอบละคร พรานบูรพ์ จึงขึ้นต้นด้วยคำว่า
“ เออ น่าอาย น่าขัน จริงนะ จันทร์เจ้าขา ” อันเป็นช่วงเวลาที่
พระเอก (จิต)
กำลังพลอดรักอยู่กับนางเอก(เจียม)ท่ามกลางบรรยากาศที่มีพระจันทร์เป็นฉากที่
เป็นใจและเร้าอารมณ์อย่างยิ่ง แล้วเอาเพลงมาร้องแทนการเจรจาบอกความในใจ
ซึ่งเป็นศิลปะทางการละครที่น่าศึกษาเป็นแบบอย่าง
นอกจากนี้ พรานบูรพ์ ยังใช้คำอุทาน แสดงความแปลกใจ ตกใจ
มาเรียงร้อยไว้ในบทเพลงได้อย่างสอดคล้องลงตัว ทำให้เกิดความไพเราะมากขึ้น
เช่น
“ เออ น่าอาย น่าขัน.. ”
" อุ๊ย ไม่เอ๊า ไม่เอา ดูนั่น จันทร์เจ้าขาคอยมอง ”
" อุ๊ย อุ๊ย อย่ามองดิฉัน ซิคะ จันทร์เจ้าขา ” สามารถทำให้เห็นภาพ
อากัปกิริยาของคู่พระ คู่นาง ได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นวรรคทอง
ของเพลงนี้ไปในที่สุด และยิ่งได้การร้องในแนวเอื้อนแบบละครร้อง เช่น
“ เรากระซี้กระซิก ระริกระรื่น ชื่น...ใจ ระริกระรื่นชื่น...ใจ ชื่น...ใจ ”
ยิ่งทำให้เพลง จันทร์เจ้าขานี้ เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมากกว่าเพลงใดในยุคสมัยนั้น
๒ จันทร์สวาท ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร
๓ จันทร์จากฟ้า ขับร้อง เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๔ จันทร์ลอย ขับร้อง เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๕ ทวายเต็ม ขับร้อง เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๖ น้ำผึ้งรวง ขับร้อง เพ็ญศรี พุ่มชูศรี

เพ็ญ
ศรี พุ่มชูศรี กำลังต่อเพลงกับครูพรานบูรพ์ เพื่อบันทึกงวดหลังสุด
ซึ่งมีเพลง “ ขวัญของเรียม ” “ จันทร์เจ้าขา ” “ ทวายเต็ม ” “ จันทร์จากฟ้า
” “ จันทร์ลอย ” และ ฯลฯ
นันทนา เงากระจ่าง(เรียม) กับ สรพงษ์ ชาตรี(ขวัญ) ในภาพยนตร์เรือง “ แผลเก่า ” ของ เชิด ทรงศรี
๗ ขวัญของเรียม ขับร้อง เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๘ เคียงเรียม ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร
๙ สั่งเรียม ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร
๑๐ ช้ำ ช้ำ ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร
๑๑ ต้นข้าวคอยฝน ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร/เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๑๒ เดือนดวงเดืยว ขับร้อง สุเทพ วงศ์กำแหง
๑๓ หวลให้ใจหาย ขับร้อง สุเทพ วงศ์กำแหง
๑๔ คนเห็นคน ขับร้อง สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์/เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๑๕ สูงสุดสอย ขับร้อง สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์/เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๑๖ ฉันรักเธอ ขับร้อง สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์/เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
๑๗ ต้นรักดอกโศก ขับร้อง สวลี ผกาพันธุ์
ประวัติของ พรานบูรพ์
ครูนารถ ถาวรบุตร ครูเพลงคนสำคัญอีกคนหนึ่ง
ที่เป็นผู้ชักนำให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ให้เข้าสู่วงการดนตรีอาชีพ
จนสามารถสร้างวงดนตรี สุนทราภรณ์ และผลงานเพลงอมตะ
เป็นแบบฉบับที่ยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมากว่า ๖๐ ปีได้เขียนถึง
"พรานบูรพ์" ไว้ว่า
"... ข้าพเจ้านับถือพรานบูรพ์ด้วยใจจริง ซ่อนความรู้สึกไว้ไม่ได้
ข้าพเจ้าเคารพแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง เริ่มรู้จักความดัง
และหลงความดังของผู้นี้มาก่อนครั้งละครเร่ แสดงที่โรงพัฒนากร สามแยก ประมาณ
พ.ศ. ๒๔๘๑ "
" คุณจวง มีอุตสาหะวิริยะพิเศษ
ใช้สมองอดหลับขับตานอนผลิตงานชิ้นนี้ชิ้นนั้น ผลิตแล้วผลิตเล่า
ทันต่อความประสงค์หรือเหตุการณ์ ไม่ว่าในระยะสั้นหรือระยะยาว
มีอารมณ์รักระหว่างรบ หรือรบระหว่างรัก ได้ทั้งนั้น"
" ฉลอง สิมาเสถียร" นักแสดงและนักร้องชั้นนำของไทย ที่คลุกคลีและคุ้นเคยกับ "พรานบูรพ์" ในยุคละครเวที บอกได้ว่า
"... นอกจากอัจฉริยะในการประพันธ์คำร้องและทำนองเพลงแล้ว
นับได้ว่ามีเอกลักษณ์ในการใส่เนื้อและทำนอง ไม่เหมือนใคร
ความหมายของเนื้อร้องกับทำนองเพลง
กลมกลืนกันอย่างดีเยี่ยม...ไม่ว่าจะเป็นเพลงแบบรักหวาน
เพลงแบบกระทบกระเทือนสังคม หรือเพลงประเภทปลุกใจรักชาติ(ยุค 40
ปี)ก็สามารถโน้มน้าวให้ผู้ร้องผู้ฟัง ร้องได้อย่างชื่นชมและจดจำไปนาน..."
ในขณะที่ " สุวัฒน์ วรดิลก" หรือ "รพีพร" ศิลปินแห่งชาติคนดังที่ทุกวงการยอมรับได้พูดถึง “ พรานบูรพ์ ” ไว้อีกเช่นกัน
" พรานบูรพ์คือนามบุคคลที่เป็นนักปฏิรูปเพลงไทยคนแรก
จากท่วงทำนองเพลงไทยเดิม
ที่แพรวพราวด้วยลูกเอื้อนให้ใกล้ลักษณะสากลยิ่งขึ้น จะถือว่าพรานบูรพ์
คือผู้ริเริ่มเพลงไทยสากลก็ไม่ผิดนัก"
"
ผลจากการบุกเบิกเพลงไทยในรุปแบบใหม่ของพรานบูรพ์ได้แก่การสืบทอดต่อไปของนัก
เพลงรุ่นหลังๆ อาทิ เรือโทมานิต เสนะวีนิน เจ้าของเพลง ตะวันยอแสง
อันเลื่องชื่อลือลั่น...เวส สุนทรจามร เอื้อ สุนทรสนานมาจนถึงสมาน
กาญจนะผลินและสง่า อารัมภีร.."
**********
คราวนี้ลองมาดูว่า ครูเพลงผู้ยิ่งใหญ่ "พรานบูรพ์" ผู้นี้ มีความเป็นมาและเป็นไปอย่างไรบ้าง ดีไหมครับ
จากหนังสือ งานฌาปนกิจศพ นายจวงจันทร์ จันทร์คณา เมื่อวันที่ ๑๒
พฤษภาคม ๒๕๑๙ ได้บอกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับ พรานบูรพ์ ไว้ ดังนี้
" นายจวงจันทร์ จันทร์คณา เป็นบุตรของหลวงราชสมบัติ(จันทร์)
และนางสร้อย เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๔๔ ณ อำเภอเมือง
จังหวัดเพชรบุรี มีน้องสาวร่วมบิดามารดาหนึ่งคน คือ นางสังวาลย์
มณีปันตี(ถึงแก่กรรม)
เนื่องจากบิดาเป็นข้าราชการ
ซึ่งต้องโยกย้ายไปรับราชการตามต่างจังหวัดต่างๆ
เมื่อเติบไว้ที่จะเข้าศึกษาได้ บิดาได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี
จึงได้เข้าเรียนที่วัดสัตนาถ เรียนอยู่ได้ไม่นาน บิดาถึงแก่กรรม
ขณะนั้นมีอายุได้ ๗ ปี มารดาได้พาไปอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ฯ
ได้เรียนหนังสือต่อจนอายุ ๑๑ ปี
จึงได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนั้น
นอกจากได้เข้ารับเลือกเล่นฟุตบอลในทีมโรงเรียนแล้ว
ยังสามารถเล่นไวโอลินได้อีกด้วย...
เมื่อจบจากสวนกุหลาบฯ " จวนจันทน์ จันทร์คณา"
ได้เข้าศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคณะรัฐประศาสน์ ( รัฐศาสตร์)
แต่เรียนไม่สำเร็จเพราะสนใจในด้านการประพันธ์และดนตรีมากกว่า
ระยะนี้เป็นระยะที่ละครราตรีพัฒนา เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา
จึงเริ่มใช้ชีวิตละครด้วยการบอกบทอยู่หลังฉาก ขณะเดียวกันก็เขียนบทกวีในนาม
" อำแดงขำ" เรื่องอ่านเล่นในนามปากกา “ รักร้อย ”
ลงในหนังสือยุคนั้นและนามปากกา "ศรี จันทร์งาม" ในหนังสือเนตรนารี
ต่อมาได้แต่งบทละครเรื่อง " ทะแกล้วทหารสามเกลอ" ขึ้นเป็นเรื่องแรก
ก็ได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี จนได้เป็นผู้แต่งบทละครเอง กำกับการแสดงเอง
และได้ใช้นามปากกา "พรานบูรพ์" เป็นครั้งแรก เมื่อเขียนเรื่อง
"เหยี่ยวทะเล"
เนื่องจากบทละครของเขาเป็นที่นิยมของคนดู
พรานบูรพ์จึงได้ดัดแปลงเพลงไทยเดิมที่มีลูกคู่ร้องรับ มาสู่แบบสากล
โดยที่ทำนองเพลงที่ใช้กับบทละครร้องยุคนั้น มีลูกคู่ยืดยาดเกินควร
จึงใส่เนื้อร้องเต็มแทนลูกคู่ใช้ดนตรีคลอ ฟังทันหูทันใจ
จึงเป็นที่นิยมของประชาชนคนดูมาก
ต่อมาได้จัดตั้งละครคณะหนึ่งใช้ชื่อว่า "ศรีโอภาส"
ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น " จันทโรภาส" ละครที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ
"เรื่องจันทร์เจ้าขา" ซึ่งแสดงที่ไหน
ก็มีแฟนละครตามไปดูแน่นทุกรอบทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด
พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ ในหนังสืออนุสรณ์พรานบูรพ์ว่า
"... คืนวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าจังหวัดประจวบฯ ครึกครื้นเป็นพิเศษ
ที่หน้าวิกมีไฟฟ้าประดับประดา มี พ่อค้าแม่ค้านำของมาขาย
มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ข่าวการแสดงละครร้อง เรื่องจันทร์เจ้าขา
ของคณะจันทโรภาส ช่องแพร่สะพัดไปรวดเร็วเหลือเกิน"
" การแสดงในคืนแรก ปรากฏว่าวิกเต็มจนล้น ทั้งๆที่ราคาค่าดูเก็บค่อนข้างจะแพงเท่าๆ กับดูหนังเฉลิมกรุงอยู่แล้ว..."
ต่อมา " จันทร์เจ้าขา" ได้ถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ โดยมีเจือ จักษุรักษ์
เป็นพระเอก สายสนม นางงามเพชรบุรีเป็นนางเอก และน้อย (มารดาของ จงรัก
จันทร์คณา เป็นนางรอง)
พรานบูรพ์ เป็นผู้ริเริ่มทำบทพากย์ภาพยนตร์ การพากย์ในยุคแรกนั้น
เป็นการเล่าเรื่องหน้าจอให้คนฟัง ก่อนหนังฉาย ต่อมาก็เป็นการพากย์แบบโขน
ให้แก่หนังแขกเรื่องแรกที่เข้ามาฉาย คือเรื่องรามเกียรติ์
และต่อมาก็เป็นการพากย์แบบปัจจุบัน โดยมีดนตรีประกอบด้วย
ภาพยนตร์เรื่องแรกนั้น คืออาบูหะซัน มีทิดเขียว (สิน สีบุญเรือง)
เป็นผู้พากย์เป็นคนแรก
ในด้านภาพยนตร์ พรานบูรพ์ ได้สร้างบทภาพยนตร์ ให้กับ
บริษัทภาพยนตร์ศรีกรุง หลายเรื่อง เช่น ใน สวนรัก อ้ายค่อม ค่ายบางระจัน
และบทภาพยนตร์ สนิมในใจ สามหัวใจ แผลเก่า ให้กับ บูรพาศิลป์ภาพยนตร์
และสร้างเอง เช่น วังหลวง วังหลัง ฯลฯ
ในระยะหลังนี้ ทำบทภาพยนตร์ สคริปต์หนังไทย บทละคร...
สุขภาพก็ทรุดโทรมลงเรื่อยมา แต่ก็ยังพยายามเขียนบทละครเก่าแก่ คือ
เรื่องขวัญใจโจร ให้คณะละครคณะหนึ่งที่มาขอไว้ เพื่อจะนำไปแสดงทางโทรทัศน์
จนจบ
พรานบูรพ์เสียชีวิตด้วยระบบลมหายใจล้มเหลว เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙ อายุได้ ๗๔ ปีบริบูรณ์
ผลงานเพลงอมตะของพรานบูรพ์
เพลงจันทร์เจ้าขา
ญ. เออ น่าอายน่าขัน จริงนะ จันทร์เจ้าขา หลบหน้าหน่อยซิเจ้าคะ
ช. เราจะกระซี้ กระซิก
พ. ระริกระรื่น รื่น
ญ. ชื่นใจ
ช. ชื่นใจ จันทร์เจ้าขา ให้เจียมบอกข้าอีกซ้ำ ซาบซ่านหวนฉ่ำคำ น้องรักพี่
ญ. จันทร์เจ้าขา ให้จิตบอกข้าอีกที หวานล้ำทวีคำพี่รักน้อง
ช. เอียงหน้ามาซิ พี่จะกระซิบเบาๆ
ญ. อุ๊ย ไม่เอา ไม่เอา ดูนั่น จันทร์เจ้าคอยจ้อง
ช. ของสงวนของน้อง นั่นควรเสนอสนอง
ญ. อุ๊ย อุ๊ย อย่ามอง ดิฉัน ซิคะ จันทร์เจ้าขา
ช. โอ้จันทร์เจ้าขา ไม่เวทนาข้าหรือว่าไร
ญ. หลบหน้าหน่อยซิเจ้า คะ
ช. เราจะกระซี้กระซิก
พ. ระริกระรื่น รื่น
ญ. ชื่นใจ
ช. ชื่น...ใจ
พ. จริงนะ จันทร์เจ้าขา
เพลงนี้บันทึกลงแผ่นเสียงขี้ผึ้งครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗
ผู้ขับร้อง คือ ประทุม ประทีปเสน(นางเอก)และมณี แพ่งสุภา(พระเอก)
ต่อมาบันทึกเป็นครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ โดยประทุม ประทีปเสน และสมชาย
ตัณฑ์กำเนิด ต่อมาชรินทร์ นันทนาคร และ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
บันทึกไว้เป็นครั้งที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒
เพลงจันทร์เจ้าขา จากละครเพลงเรื่องนี้ มาลัย ชูพินิจ
นักหนังสือผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทยในยุคนั้น เขียนชมเชยไว้ว่า
ได้รับความนิยมแพร่ไปกว้างไกล แม้กระทั่งในชนบท ป่าเขาที่ห่างไกลเมืองหลวง
ก็ยังมีคนนำไปร้องกันอยู่อย่างน่าแปลกใจ

หนังสือบทละครเพลงเรื่อง ” จันทร์เจ้าขา ” พร้อมกับมีโน้ตเพลงประกอบละครทั้ง ๓๙ เพลงด้วย
เพลงนี้เป็นเพลงประกอบในละครเพลง ดังนั้น พรานบูรพ์
จึงนำเอาชื่อตัวละคร ตัวเอก ทั้งพระ และนางเอก มาใส่ไว้ในเนื้อเพลงด้วยคือ
“... ชื่นใจ จันทร์เจ้าขา ให้ “ เจียม ” บอกข้าอีกซ้ำ ซาบซ่านหวานฉ่ำคำน้องรักพี่
จันทร์เจ้าขา ให้ “ จิต ” บอกข้า อีกที หวานล้ำฉ่ำทวี คำพี่รักน้อง... ”
และเพราะเป็นเพลงประกอบละคร พรานบูรพ์ จึงขึ้นต้นด้วยคำว่า
“ เออ น่าอาย น่าขัน จริงนะ จันทร์เจ้าขา ” อันเป็นช่วงเวลาที่
พระเอก (จิต)
กำลังพลอดรักอยู่กับนางเอก(เจียม)ท่ามกลางบรรยากาศที่มีพระจันทร์เป็นฉากที่
เป็นใจและเร้าอารมณ์อย่างยิ่ง แล้วเอาเพลงมาร้องแทนการเจรจาบอกความในใจ
ซึ่งเป็นศิลปะทางการละครที่น่าศึกษาเป็นแบบอย่าง
นอกจากนี้ พรานบูรพ์ ยังใช้คำอุทาน แสดงความแปลกใจ ตกใจ
มาเรียงร้อยไว้ในบทเพลงได้อย่างสอดคล้องลงตัว ทำให้เกิดความไพเราะมากขึ้น
เช่น
“ เออ น่าอาย น่าขัน.. ”
" อุ๊ย ไม่เอ๊า ไม่เอา ดูนั่น จันทร์เจ้าขาคอยมอง ”
" อุ๊ย อุ๊ย อย่ามองดิฉัน ซิคะ จันทร์เจ้าขา ” สามารถทำให้เห็นภาพ
อากัปกิริยาของคู่พระ คู่นาง ได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นวรรคทอง
ของเพลงนี้ไปในที่สุด และยิ่งได้การร้องในแนวเอื้อนแบบละครร้อง เช่น
“ เรากระซี้กระซิก ระริกระรื่น ชื่น...ใจ ระริกระรื่นชื่น...ใจ ชื่น...ใจ ”
ยิ่งทำให้เพลง จันทร์เจ้าขานี้ เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมากกว่าเพลงใดในยุคสมัยนั้น
นอกจากเพลง "จันทร์เจ้าขา" ที่เป็นที่นิยมแล้ว เพลง "กล้วยไม้ลืมดอย"
ผลงานของพรานบูรพ์นั้นก็เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมด้วยเช่นเดียวกัน
โดยเพลงนี้มาจากละครเรื่อง "โจ๊โจ้ซัง" ของคณะศรีโอภาส
แสดงที่โรงภาพยนตร์พัฒนาการ เมื่อวันที่ ๑๓-๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗
เพลงกล้วยไม้ลืมดอย
กล้วยไม้ของเราแต่เก่าก่อน อยู่ในดงในดอน เจ้าซ่อนช่อซ่อนใบ
ไกลภู่ ไกลผึ้ง ซ่อนอยู่ถึงไหนไหน ใครจะเด็ดจะดมได้ ใครจะเด็ดจะดมได้ เราไม่เห็นเลย
โอ้กล้วยไม้เอย น่าชื่นน่าเชย เจ้าบ่เคยชอกช้ำ ทุกเช้าสายบ่ายค่ำ ชื่นบ่ช้ำชอกเลย
เดี๋ยวนี้ดูหรือกล้วยไม้ มาชู่ช่อชูใบ บานอยู่ในกระเช้า
ลืมดอยลืมดอน ที่เคยซ่อนก่อนเก่า ภู่จะคลึง ผึ้งจะเคล้า ให้เจ้าเฉาลง
ภู่จะคลึง ผึ้งจะเคล้า ให้เจ้าเฉาลง โอ้กล้วยไม้เอย โธ่ไม่น่าเลย ที่จะมาไหลหลง
เจ้าลืมซุ้มพุ่มพง เจ้าลืมดงดอยเอย
เป็นอีกเพลงอมตะของพรานบูรพ์ที่มีแนวการร้องแบบละครร้องที่ได้รับความนิยม
กันมาก
เพลงนี้พรานบูรพ์แสดงฝีมือความเป็นนักกลอนหรือคีตกวีอย่างสมศักดิ์ศรี
เพราะการเล่นคำ
การซ้ำคำและสัมผัสทั้งอักษรและเสียงที่ทำให้สื่อความหมายและสร้างอารมณ์ของ
เพลงได้ดียิ่ง เช่น
" เก่าก่อน" "ไหนไหน" "ชอกช้ำ" "ชูช่อชู-ใบ" "ไหลหลง" " พุ่มพง"
"ดงดอย" "ในดง ในดอน" "ไกลภู่ ไกลผึ้ง" "จะเด็ด จะดม" "น่าชื่น น่าเชย" "
ชูช่อ ชูใบ" "ลืมดอย ลืมดอน" "ภู่จะคลึง ผึ้งจะเคล้า" และ "ลืมซุ้มพุ่มพง
ลืมดงลืมดอย"
ซึ่งเป็นผลงานการแต่งคำร้องที่หาตัวจับได้ยากยิ่งในยุคสมัยนั้น
แม้ตราบเท่าทุกวันนี้
ยิ่งมีแนวการร้องที่มีจังหวะเว้นเป็นช่วงๆ
แล้วร้องติดกันเป็นวรรคยาวๆ
ที่เป็นแบบฉบับของละครร้องด้วยแล้วยิ่งทำให้เพลงๆ นี้
ติดอยู่ในความนิยมของแฟนเพลงตั้งแต่นั้นมา
คราวหน้าหากจะร้องเพลงกล้วยไม้ลืมดอยกันอีกอย่าลืมพิจารณาข้อสังเกตที่ผมยก
มาให้อ่านกันก่อนนะครับ คุณจะได้ "ตีความ" ของเพลงให้ทะลุ
เวลาร้องจะได้ซึมซาบทั้งอารมณ์และอรรถรสของเพลง
แล้วคุณจะได้รู้เองว่า "อันเพลง ดนตรี คีตศิลป์" นั้น มีคุณค่าแก่ชีวิตแค่ไหน ต่อกันด้วยเพลงที่ชื่อว่า " กุหลาบร่วง"
เพลงนี้เดิมเป็นเพลงอยู่ในละครเรื่อง " บุปผชาตินคร"
ของคณะจันทโรภาส ที่ไปแสดงที่วิกบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปีพ.ศ.
๒๔๗๖ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "แม่ศรีเวียง" แสดงที่โรงพัฒนากร เมื่อปี
พ.ศ.๒๔๗๘ จึงตัดเอาเพลงกุหลาบร่วง ออกมาร้องสลับฉาก ขับร้องโดย ชะอวบ
ฟองกระแสสินธุ์
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ นงลักษณ์ โรจนพรรณ ดาราละครทีวีของ บริษัท
ไทยโทรทัศน์ จำกัด ช่อง ๔
บางขุนพรหมนำมาบันทึกเทปออกเผยแพร่เลยหวนคืนมาฮิตติดใจผู้ฟังอีกรอบหนึ่ง
และมีการนำเอามาร้องใหม่กันอีกหลายครั้งหลายหน โดยนักร้องชื่อดังๆ
ในแต่ละยุคเพลงกุกลาบร่วง
เดิมเป็นเพลงอยู่ในละครเรื่องบุปผชาตินครของคณะจันทโรภาส ที่ไปแสดงที่วิกบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นแม่ศรีเวียง แสดงที่โรงพัฒนากร เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๗๘ จึงตัดเอาเพลงกุหลาบร่วง ออกมาร้องงสลับฉาก ขับร้องโดย ชะอวบ
ฟองกระสินธุ์
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ นงลักษณ์ โรจนพรรณ ดาราละครทีวี ของ บริษัท
ไทรโทรทัศน์ จำกัด ช่อง ๔ บางขุนพรหม นำมาบันทึกเทปออกเผยแพร่
เลยหวนคือมาฮิตติดใจผู้ฟังอีกรอบหนึ่งและมีการนำเอามาร้องใหม่กันอีกหลาย
ครั้งหลายหน โดยนักร้องชื่อดังๆ ในแต่ละยุค
สายลมผวนหวนไป ใจของเราหายวาบ กลิ่นกุหลาบเจ้าเอ๋ย นะ
ก่อนเคยมีกลิ่นหอม ยั่วย้อมอารมณ์
สายลมเชยเคยได้ดม ชื่นอารมณ์เพียงชั่วคืน
คิดไปใจหาย กุหลาบกลายไปเป็นของคนอื่น
ปลูกเอาไว้ หวังใจจะได้ชื่น สู้เร่งวันคืน มิทันได้ชื่น สิกลับต้องช้ำ
ก่อเป็นกอละกำ สุดจะช้ำวิญญา
สายลมเชยรำเพยพา กลิ่นเอามาให้เราดม
เดี๋ยวนี้ซิหนอ ยังสู้แตกออกไว้ให้ชื่นชม
สุดเสียดาย เขาเด็ดดอกเอาไปดม อกเราต้องระทม เพียงต้องสายลมยังเรรวน
สายลมหวนครวญเสียง แม้นเพียงเราครวญ กลีบกุหลาบที่เหลือ นะ
เชื่อใจว่าจะหวน ทวนสายลมมา สายลมเชยเคยได้พา กลิ่นเอามาให้ชื่อใจ
คิดไปแสนห่วง กุหลาบล่วงช่อแห้งติดใบ เถอะจะสู้ รดน้ำพรวนดินไว้
ช่อที่แห้งติดใบ นี้จะเอาไว้ให้ชื่นบาน
เข้าใจเอาเองว่า บทร้องวรรคที่สองของท่อนแรก ที่ว่า “ สายลมหวนทวนไป
ใจของเรา “ หายวาบ ”” ซึ่งจะส่งไปสัมผัสกับเนื้อบรรทัดที่สอง “
กลีบกุหลาบเจ้าเอ๋ย นะ ” นั้น คำว่า “ หายวาบ ”
แสดงความรู้สึกได้สุดยอดว่ารู้สึกอย่างไร แม้จะเป็นคำพื้นๆ สามัญทั่วๆ
ไปจนกระทั่ง ขุนวิจิตรมาตรา นำเอาไปแต่งใน “ เพลงกุหลาบในมือเธอ ” ที่ พลโท
หม่อมหลวงขาบ กุญชร เป็นผู้ขับร้อง(ใจพี่ หายวาบ
เมื่อเห็นกุหลาบกลีบกระจายฯ)
เพลงกุหลาบร่วง เพลงนี้ พรานบรูพ์ แต่งเนื้อไว้เพียงสามท่อน
แต่ละท่อนจะมีเนื้อเพลงล้อกันทั้งเพลง เช่น “
สายลมหวนทวนไป....สายลมหวนทวนมา....สายลมหวนทวนเสียง ” “
สายลมเชยเคยได้ดม....สายลมเชยลำเพยพา....สายลมเชยเคยได้พา ” “
คิดไปใจหาย....คิดไปแสนห่วง ” เนื้อหาก็เป็นการตัดพ้อต่อว่า
และยอมรับในโชคชะตา ที่ฟ้าลิขิตมาให้โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อต่อรองใดทั้งสิ้น
“ ปลูกเอา ไว้หวังใจว่าจะได้ชื่น สู้เร่งวันเร่งคืน
ยังมิทันชื่นซิกลับต้องช้ำ ” “ สุดเสียดาย เขาเด็ดดอกเอาไปดม อกเราต้องระทม
เพียงต้องสายลมยังเรรวน ”
ขนาดแค่ “ เพียงต้องสายลมยัง เรรวน ”
นี่ผมว่ามันหนักหนาสาหัสเอาเรื่องทีเดียวนะครับที่สำคัญก็คือ
บทสรุปสุดท้ายที่ว่า “ คิดไปแสนห่วง กุหลาบร่วงช่อแห้งติดใบ
เถอะจะสู้รดน้ำพรวนดินไว้ ช่อที่แห้งติดใบ ช่อมีเอาไว้ให้ชื่นบาน ”
แหม ขนาด “ ช่อ ” ที่มีกุหลาบแห้งติดอยู่
ก็ยังรักและบูชาอยู่อย่างนี้ ดูออกจะเป็น “ คนดี ” ที่หาได้ยากเสียกระมัง
ในยุคนี้ สมัยนี้ หรือคุณว่าไง สายลมหวนทวนมา พาหัวใจให้จำ
เมื่อกุหลาบแตกช่อ นะ
เพลงกระแจจันทร์
ช. ฟังคำแล้วจงจำสักนิด แม่ชื่นชีวิตของพี่ คนเดียวเท่านี้ พี่รักแนบสนิท รักฝังจิต ฝังใจ
หากพี่พรากจากไป จะฝากน้องไว้กับใคร ไม่เท่าฝากใจไว้กับตัว
คิดถึงพี่ไว้ วันละนิด ละนิดละหน่อย ทวีรักไว้ วันละน้อย ละหน่อยคอยซึ้ง
รักเก่าเรายังตรึง ถึงสนิทติดใจ
ญ. ฟังคำแล้วจงฟังสักนิด นะชื่นชีวิตของน้อง คนเดียวที่ปอง รักน้องแนบสนิท รักฝังจิต ฝังใจ
หากพี่พรากจากไป พี่อย่าหวนห่วงใย น้องจะเก็บไว้ใจเอากับตัว
คิดถึงน้อง วันละนิด ละนิด ละหน่อย ทวีรักไว้ วันละน้อย ละหน่อยนะพี่
รักเก่าของเรานี้ จะไม่มีจืดจาง
พ. โอ้รัก รักของเรา
ญ . สองรักเราร่วมเคล้า
ช. สองรักเราร่วมใจ
ญ . สดกว่ารสอื่น อื่น เพราะรัก นะ
ช. ชื่นกว่ารสใดใด
ญ. รักเรารักฝากไว้
ช. มอบหัวใจให้กัน
ญ. พลอดพร่ำ แล้วจงจำเอาไว้ อย่าเฉไฉหลงเลือน
พร่ำพรอดออดเอื้อน ต่างขอเตือนต่อชีวิต
ช. รักฝังจิต ฝังใจ หากเมื่อพรากจากไป ต่างหวงห่วงอาลัย ต่างฝากใจไว้ต่อกัน
ญ . คิดถึงกันไว้ วันละนิด ละนิดละหน่อย
ช. ทวีรักไว้ วันละน้อย ละหน่อยคอยซึ้ง
พ. รักเก่าเรายังตรึง ถึงสนิทติดใจ
เป็นเพลงจากละครเรื่อง กระแจจันทร์ ของคณะจันทโรภาส
แสดงที่โรงพัฒนาการ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๔๘๐ ต่อมา ฉลอง สิมะเสถียร และ
อารีย์นักดนตรี นำมาขับร้องใหม่ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอีกครั้ง
อารีย์ นักดนตรี เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“... เมื่อดิฉันยังเป็นเด็กเล็ก อายุประมาณ ๖-๗ ขวบ
บ้านดิฉันอยู่ริมน้ำ โรงหนังโรงละครอยู่ฝั่งตรงข้าม
ใช้สถานที่เดียวกันทั้งเล่นละคร ฉายหนัง ชอบเปิดเพลงเก่าๆ
สมัยละครจันทโรภาสเปิดเพลงเสียงดังลั่นแม่น้ำ ก่อนการแสดงทุกๆ คืน
มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งดิฉันฟังทุกๆ วันจนคุ้นหู เพลงนั้นเนื้อเพลงมีว่า
“ คิดถึงกันไว้วันละนิดละนิดละหน่อย ทวีรักไว้วันละน้อยละหน่อยค่อยซึ้ง
รักเก่าเรายังตรึงถึงสนิทติดใจ... ”
เมื่อตอนเด็กจำได้แค่นี้ มาทราบชื่อภายหลังว่า “ กระแจจันทร์ ” รู้แต่ว่าเป็นเพลงของพรานบูรพ์
... สมัยนั้นเพลงพรานบูรพ์ฮิทจริงๆ
เมื่อละครจันทโรภาสไปแสดงเมื่อไหร่ละก้อ
ชาวบ้านแถวนั้นรีบหุงข้าวอาบน้ำแต่วัน
เพื่อจะพายเรือข้ามฟากไปดูละครของพรานบูรพ์
ดิฉันรู้จักชื่อพรานบูรพ์ตั้งแต่นั้น และชอบฟังเพลงของพรานบูรพ์
พอเข้าทำงานทีวี ช่อง ๔ ได้ไม่ถึง ๒ ปี หัวหน้า(คุณจำนง
รังสิกุล)เกณฑ์ลูกน้องชายหญิง ร้องเพลงแห่งความหลัง
ดิฉันนึกถึงเพลงกระแจจันทร์ได้ เลยร้องคู่กับ คุณฉลอง สิมะเสถียร...
พรานบูรพ์ฝากฝีมือในการแต่งเพลงไว้ในเพลงนี้มากทีเดียว
โดยใช้วิธีการ ล้อคำในวรรคแรก แล้วเปลี่ยนคำตอนกลางเอาไว้
แต่กินความหมายได้เป็นอย่างดี ไม่มีที่ติเช่น
“ ฟังคำแล้วจงจำสักนิด แม่/นะ ชื่นชีวิตของพี่/ น้อง
คนเดียวเท่านี้พี่/ที่ปองรัก(ของ)แนบสนิท/น้องแนบสนิท รักฝังจิต ฝังใจ ”
“ หากพี่พรากจากไป จะฝากน้องไว้กับใคร/ พี่อย่าห่วงใย ไม่เท่าฝากใจไว้กับตัว/ น้องจะเก็บใจไว้กับตัว ”
“ คิดถึงพี่/น้องไว้วันละนิดละนิดละหน่อย ทวีรักไว้วันละน้อยละหน่อยค่อยซึ้ง/ นะพี่
รักเก่าเรายังตรึง/ ของเรานี้ ถึงสนิทติดใจ/ จะไม่จืดจาง ”
“ คิดถึงกันไว้วันละนิดละนิดละหน่อย ทวีรักไว้วันละน้อยละหน่อยคอยซึ้ง รักเก่าเรายังตรึงถึงสนิทติดใจ ”
เมื่อ ฉลอง สิมะเสถียร และ อารีย์ นักดนตรี นำมาร้องในละครโทรทัศน์
เพลงๆ นี้จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้ง
และยังเป็นอมตะตราบเท่าทุกวันนี้
เพลงอยากจะรักสักครั้ง
อยากจะรักสักครั้ง แต่หายังไม่ได้ ไม่รู้จะหา ไม่รู้จะหาที่ไหน
ให้ชื่นใจชื่นอก เอาไว้กอดเอาไว้กก หยิบยกรักวางไว้กลางดวงใจ
อยากจะรักสักครั้ง แต่หายังไม่ได้ จะเปรี้ยวจะหวาน จะมันจะเค็มปานใด
ยังสงสัยไม่เคยเจอ
เที่ยวเสาะหามานานนัก ไม่พบรักมันจะเก้อ ได้แต่หลงละเมอ เพ้อฝันฟั่นเฟือน
หนาวใจไม่หาย หนาวใจ ไม่มีเพื่อน รักเตือน เตือนให้รู้
รัก รัก จักรักนัก รักกระตุ้นเตือน เล่น เล่น เหมือนเลอะเลือนหัวใจ
อยากจะรักสักครั้ง แต่หายังไม่ได้ ใครจะรัก รักกันอยู่ไหน
กระซิบได้ให้ฉันฟัง จะรีบรักตอบ และมอบตัวตามหลัง จอดจิตจริงจัง สมหวังดังใจ
เพลงนี้เป็นเพลงในละคร เรื่องอยากจะรักสักครั้ง
แสดงที่โรงละครพัฒนากร เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ ๒๔๘๕
ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อร้องเดิมบางส่วน แล้วนำมาขับร้องใหม่ โดย จินตนา
สุขสถิตย์
ท่วงทำนอง ก็เป็นแบบละครร้อง ซึ่งเป็นแนวที่พรานบูรพ์ ถนัดมาก โดยเฉพาะการร้องที่เป็นทอดยาวตลอดทั้งวรรค โดยไม่เว้นคำ เช่น
" ให้ชื่นใจชื่นอก เอาไว้กอดเอาไว้กก หยิบยกรักวางกลางดวงใจ"
" จะเปรี้ยวจะหวานจะมันจะเค็มปานใด ยังสงสัยไม่เคยเจอ"
" กระซิบได้ให้ฉันฟังจะรีบรับรีบตอบ และจะมอบตัวตามหลัง จอดจิตจริงจัง สมหวังดังใจ"
ท้ายสุด เพื่อเป็นการระลึกถึง เรื่องราวและผลงานเพลงอมตะ
ของครูเพลงผู้ยิ่งใหญ่ของคนไทยในอดีต พรานบูรพ์
จึงขอนำคำกลอนที่ท่านเขียนเอาไว้มาให้อ่านกันดังนี้
คนเห็นคน เป็นคน นั่นแหละคน
คนเห็นคน ใช่คน ใช่คนไม่
กำเนิดคน ต้องเป็นคนทุกคนไป
จนหรือมี ผู้ดีไพร่ ไม่พ้นคน
(ลอกข้อมูลมาจากงานเขียนของ คีตา พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์)
เรื่องย่อ “ แผลเก่า ”

ณ ท้องทุ่งบางกะปิ
ไอ้ขวัญลูกผู้ใหญ่เขียนหนุ่มเลือดนักเลงรูปงามมีเพื่อนสนิทคือ ไอ้เฉ่ง
ไอ้เยื้อน ไอ้สมิงไอ้เปีย
ผู้ใหญ่เขียนรักไอ้ขวัญมากจึงไม่คิดที่จะมีเมียใหม่
แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อนายเรือง และไอ้เชิญ
รุกล้ำที่นาของผู้ใหญ่เขียน และเกิดเป็นคดีความขึ้น
แต่นายเรืองแพ้จึงประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ใหญ่เขียนแต่
เหมือนเป็นกรรมเก่าที่ทำร่วมกันมาเพราะขวัญเกิดไปชอบพอกับเรียมลูกสาวนาย
เรือง ซึ่งมีหนุ่มมารุมรักมาก มายรวมถึงไอ้จ้อยเศรษฐีมีเงิน
ขวัญกับเรียมแอบนัดพบกันเสมอ
ความรักของทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นจนทั่งคู่แอบมีอะไรกัน ขวัญพร่ำ
บอกว่ารักเรียมเท่าชีวิต
แต่เรียมนั้นไม่แน่ใจจึงพาขวัญไปสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อไทร
ขวัญโกรธที่เรียมไม่ เชื่อใจจึงเอามีดจ้วงแทงแขนตัวเอง
เพื่อใช้เลือดเป็นเครื่องยืนยันความรัก ทั้งคู่สาบานรักกันต่อหน้าศาลเจ้า
พ่อไทรว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป
จ้อยเห็นขวัญกับเรียมอยู่ด้วยกันจึงถีบหน้าขวัญอย่างจัง ไอ้เชิญได้ใช้ดาบ
ฟันที่กกหูขวัญเป็นแผล
ขวัญจะฆ่าจ้อยแต่เรียมขอเอาไว้
อีกอย่างนายเรืองอนุญาตให้ขวัญยกขันหมากมาสู่ขอ เรียม
ซึ่งสร้างความหวังให้กับทั้งคู่เป็นอย่างมาก
แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง เมื่อไอ้เชิญและนางรวย
เป่าหูนายเรืองให้กันขวัญออกจากเรียม
แล้วยกให้ไอ้จ้อยเพื่อยกฐานะให้กับตนเอง เรียมถูกขายให้คุณนาย
ทองคำที่บางกอก ขวัญจึงออกไปตามหาที่บางกอกแต่ไม่เจอ
ไอ้ขวัญแทบคลั่งด้วยความเป็นห่วงลูกชายผู้ใหญ่
เขียนแอบเก็บเงินเพื่อช่วยไถ่ตัวเรียมอีกแรง
ขวัญคลั่งหนักเมื่อรู้ข่าวว่าไอ้จ้อยจะไปไถ่ตัวเรียมเพื่อมาแต่งงาน
ผู้ใหญ่เขียนจึงไปกราบเท้านายเรือง ให้ขวัญมีสิทธิ์ไถ่ถอนตัวเรียมมาแต่งงาน
นายเรืองรับกราบขวัญเร่งทำงานหาเงินเพื่อไถ่ตัวเรียม เรียมอยู่ที่
บางกอกในฐานะทาสรับใช้
แต่คุณนายทองคำเอ็นดูเรียมเพราะหน้าคล้ายลูกสาวที่ตายไปจึงรับเป็นลูก
บุญธรรม โดยซื้อจากนายเรืองนายเรืองบอกให้ให้ขวัญนำเงินไปไถ่ถอนเรียมเอง
แต่แล้วขวัญต้องคลั่งอีกครั้งเมื่อรู้ว่า
นายเรืองได้ขายเรียมให้กับคุณนายทองคำไปแล้ว
แต่ขวัญยังเชื่อในคำสาบานว่าเรียมจะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน
ผู้ใหญ่เขียนเห็นว่าน่าจะให้ขวัญบวชจะได้ทำให้ขวัญสงบลง
ฝ่ายเรียมเมื่อขยับขึ้นมาเป็นลูกบุญธรรมชีวิตก็เปลี่ยนไปสมชายอดีตคู่
หมั้นของลูกสาวของคุณนายทองคำ สนใจเรียม แล้วทั้งสองคนก็ใช้ความ
ศิวิไลซ์ของบางกอกมัดใจเรียม เรียมพอใจกับความเป็นอยู่หรูหราเริ่มมอง
ว่าสมชายรักจริง และเริ่มมองขวัญเป็นเพียงพวกป่าเถื่อนด้อยพัฒนา
ส่วนขวัญเฝ้าเวียนวนภาวนาต่อหน้าศาล เจ้าพ่อไทร
ให้ดลใจให้เรียมนึกถึงคำสัญญา
แล้วคำภาวนาก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อนางรวยป่วยเรียมต้องกลับมาเยี่ยม
ขวัญดีใจรีบไปหาเรียม
แต่ต้องผิดหวังเมื่อเรียมดูสูงส่งไม่เหมือนเรียมคนเดิม
และเรียมได้หนีขวัญกลับ บางกอกทั้งที่สัญญาว่าจะมาพบในตอนกลางคืน
ขวัญเสียใจมากจะฆ่าตัวตายต่อหน้าศาลเจ้าพ่อไทร แต่ผู้ใหญ่ เขียนมาขวางไว้
ผู้ใหญ่เขียนได้โอกาสตอนที่ขวัญกำลังซมซานจึงพูดเรื่องที่จะให้ขวัญบวช
ขวัญก็เออออตามพ่อ เพราะกำลังสับสน
เช่นเดียวกับเรียมที่ตอบตกลงแต่งงานกับสมชายเพราะกำลังสับสน
จนนางรวยเจ็บหน้าอก อีกครั้ง ทำให้เรียมต้องกลับมาดูแลแม่ ช่วงเวลา ๓
วันที่อยู่บางกะปิ เรียมตัดสินใจคืนดีกับขวัญทั้งคู่ร่าเริง
เหมือนปลาได้น้ำ แต่เรียมไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้
นอกจากคุณนายทองคำคนเดียว
เวลาผ่าน มาถึงวันที่ ๔ นางรวยตาย
หลังจากเสร็จงานศพสมชายก็ตามเรียมกลับบางกอก เพราะคุณนายทองคำป่วย
เรียมจำใจต้องกลับทั้งที่วันนี้เป็นวันบวชของขวัญ
เรียมตั้งใจจะกลับไปบอกคุณนายทองคำว่าเป็นเมียขวัญ และจะไม่แต่งงานกับสมชาย
แต่เรียมไม่มีโอกาสที่จะไปบอกขวัญถึงการจากไปครั้งนี้
ที่บ้านผู้ใหญ่เขียนกำลังเตรียมงานบวชโดยที่ไม่รู้เลยว่างานบวชวันนี้
จะเป็นงานศพแทนขวัญรู้เรื่องว่าเรียม
จะไปบางกอกถึงกับสติแตกคว้ามีดซุยคู่ใจโดดออกจากเรือน
สมชายให้เรียมพาไปเที่ยวท้องนาเรียม ตัดสินใจบอกว่าขวัญเป็นหนึ่งในดวงใจ
และจะไม่แต่งงานกับสมชาย แต่เขาไม่บังคับเพราะต้องการสมบัติของ
คุณนายทองคำอย่างเดียว ขวัญมาพบการพูดคุยกันทำให้ขวัญเข้าใจผิด
คิดว่าเรียมจะหนีไอ้ขวัญไปชั่วชีวิต
ขวัญคลั่งทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้งฆ่าไอ้เชิญกับสมุนตาย
เรียมไม่คิดว่าเรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องเลวร้าย
เพราะไอ้ขวัญยอดรักถูกสมชายยิงตายไปต่อหน้า
ตายไปพร้อมกับความเข้าใจผิดคิดว่าเรียมนอกใจทางด้าน
ผู้ใหญ่เขียนวิ่งถือผ้าไตรและเครื่องบวชตามไอ้ขวัญมา
ในขณะที่กระสุนปืนพุ่งใส่ร่างของไอ้ขวัญผู้ใหญ่เขียน
สะดุดรากไม้ล้มลงพร้อมผ้าไตรและเครื่องบวช
ผู้ใหญ่รู้ทันทีว่าไอ้ขวัญไม่มีวันกลับมาเป็นลูกของเขาอีก ทำได้
แต่ก้มหน้าลงร้องไห้จนสิ้นสติไป
เรียมตัดสินใจจะเป็นเมียไอ้ขวัญเพียงคนเดียวชั่วชีวิต
จึงตัดสินใจใช้มีดแทงตัวตายตามไอ้ขวัญไป ณ
ท้องน้ำอันเป็นที่เริงรักของทั้งคู่ ท้องน้ำที่ไหลสู่ศาลเจ้าพ่อไทร
สถานที่ที่ทั้งคู่เคยร่วมสาบานรักกัน ตราบจนกว่า
ความตายจะมาพรากทั้งคู่จากกันไป

หนังสือ
” บทเพลงแห่งความหลัง สามพลัง ยอดนักเพลง ” เขียนโดย ศาสตราจารย์พิเศษ เรืองอุไร กุศลาสัย
ในหนังสือเล่มนี้มีประวัติครูเพลง ๓ ท่านคือ ครู พรานบูรพ์(จวงจันทร์
จันทร์คณา), ครูเอื้อ สุนทรสนาน และครูไพบูลย์ บุตรขัน
ร่วมทั้งเนื้อเพลงเก่าเก่าที่ท่านอาจลืมเลือน(เหมาะสำหรับพวกแก่แก่อย่างผม
มาอ่านระลึกความหลัง)เป็นหนังสือนำเที่ยวย้อนยุคอ่านแล้วอยากเดินเที่ยวฝั่ง
ธนแถวโรงพยาบาลศิริราช
คล้ายกับอ่านสี่แผ่นดินแล้วอยากไปเดินแถวถนนพระอาทิตย์

หนังสืออนุสรณ์ พรานบูรพ์ พิมพ์เมื่อ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ในงานฌาปนกิจศพ นายจวงจันทร์ จันทร์คณา

หนังสือ อนุสรณ์ ” พรานบูรพ์ ” (จวงจันทร์ จันทร์คณา) ในงานฌาปนกิจศพ ณ ฌาปนสถานวัดโสมนัสวิหาร
ในวันพุธที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
วงการแพลงสลด ‘ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ' สิ้นลม
“ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ” อดีตนักร้องดัง ศิลปินแห่งชาติ
เจ้าของบทเพลงวิหคเหิรลม ที่สิ้นลมอย่างสงบ
หลังป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์นานกว่า 4 ปี ขณะหลานป้อนข้าวตอนเช้า
เกิดสำลักสิ้นสติ หลานรีบนำส่งคลินิกใกล้บ้านแต่หัวใจหยุดเต้น
แพทย์ปั๊มหัวใจแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์สุดยื้อชีวิตไว้ได้ หลานเผย
ก่อนสิ้นลมเพ้อถึงแต่ "รพีพร" ผู้สามีที่เพิ่งจากไป ว่ามาชวนไปเที่ยว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ตั้งศพสวดพระอภิธรรม 5
วันแล้วเก็บศพไว้รอรับพระราชทานเพลิงพร้อม "รพีพร"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 พ.ค. นายพีรพงศ์ พลรัตน์ หลานชายของ
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี อดีตนักร้องดัง ศิลปินแห่งชาติ เปิดเผยว่า คุณป้าเพ็ญศรี
ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเช้าวันเดียวกัน ขณะที่พี่สาวของตนกำลังป้อนข้าวให้
คุณป้าเพ็ญศรีเกิดสำลักจึงรีบนำส่งคลินิกใกล้บ้าน แต่ทาง
คลินิกให้นำส่งไปที่ รพ.เมืองสมุทรปากน้ำ จนกระทั่งเวลา 10.00 น.
คุณป้าก็เสียชีวิตอย่างสงบ
นายพีรพงศ์ เปิดเผยด้วยว่า คุณป้าเพ็ญศรี ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์มานานกว่า
4 ปี ซึ่งคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ เวลาจะกลับกันหมด
จะคิดว่ากลางวันเป็นกลางคืน พอถึงกลางคืนก็จะไม่ยอมนอน
พอเช้าก็จะไม่ค่อยได้สติ เวลาป้อนข้าวก็ต้องคอยเรียกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
จะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ขณะที่ป้อนข้าวก็เห็น อาการไม่เคี้ยวข้าว
ทำให้สำลักติดหลอดลม จนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล สำหรับศพคุณป้าเพ็ญศรี
จะนำไปรดน้ำศพและสวดพระอภิธรรมที่ ศาลา 15 วัดมกุฏฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นเวลา 5
วัน จากนั้นจะเก็บไว 100 วัน คาดว่าจะฌาปนกิจพร้อมกับ คุณลุงสุวัฒน์
วรดิลก ผู้สามีที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา
ซึ่งขณะนี้กำลังทำเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพอยู่
ด้าน นพ.พิพัฒน์ พงษ์รัตนามาน ผอ. รพ.เมืองสมุทรปากน้ำ เปิดเผยว่า
เพ็ญศรี เคยมีโรคประจำตัวหลายโรค
ซึ่งสาเหตุที่เสียชีวิตเนื่องจากมีเศษอาหารเข้าไปอุดตันในช่องหลอดลม
ทำให้สมองขาดอากาศ ญาติบอกว่าใช้เวลามาโรงพยาบาลประมาณ 15 นาที
ผู้ป่วยหมดสติก่อน ทำให้หัวใจหยุดเต้น
แพทย์ที่คลินิกได้ช่วยปั๊มหัวใจจนกลับมาเต้น แล้วรีบส่งมาที่
รพ.เมืองสมุทรปากน้ำ แพทย์พยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่
แต่ไม่สามารถช่วยไว้ได้
จึงเสียชีวิตอย่างสงบเนื่องจากสมองขาดอากาศนานเกินไป
คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม (วธ.)
กล่าวว่าตนเป็นแฟนเพลงของเพ็ญศรี พุ่มชูศรี มาตั้งแต่เด็ก
รู้สึกประทับใจเสียงมาก โดยเฉพาะเพลงม่านไทรย้อย รำพันสวาท สกุลตลา
เป็นเพลงที่คุณเพ็ญศรี ร้องได้ไพเราะมาก เพราะมีเสียงหวานนุ่มเป็นเอกลักษณ์
จึงถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการศิลปิน
รวมทั้งเป็นการสูญเสียบุคคลที่ใช้ภาษาไทยดีเด่นอีกด้วย
เนื่องจากเพลงไทยสากลสมัยก่อน ต้องร้องอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เนื้อหาแต่งด้วยคำที่สละสลวย ร้องได้ชัดถ้อยชัดคำ ถูกอักขระ
ดังนั้นตนในฐานะกำกับดูแล วธ. และ สนง.คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวพุ่มชูศรี
ที่ได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
ต่อมาเวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี พร้อมหีบก้านแย่งประกอบศพ
ท่ามกลางความปลื้มปีติของญาติพี่น้อง
โดยมีศิลปินรุ่นเก่ามาร่วมไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า น.ส.ธนวรรณ พลรัตน์ อายุ 27 ปี
หลานสาวศิลปินดัง กล่าวว่า ตนอยู่กับป้าตอนเกิดเหตุ
โดยท่านเพ้อถึงคุณลุงตลอดเวลา บอกว่าลุงมาชวนไปเที่ยว ก่อนจะจบชีวิต
สำหรับพิธีศพจะสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นจะบรรจุ ไว้ก่อน
เพื่อรอพระราชทานเพลิงศพพร้อมกับ คุณลุง
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เกิดเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2472 ที่ จ.พิษณุโลก
ชื่อเดิม ผ่องศรี พุ่มชูศรี แต่น้อง ๆ เรียก ป้าโจ๊ว
เข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัดตั้งแต่อายุ 8 ขวบในชื่อ ผ่องศรี พุ่มชูศรี
เริ่มหัดร้องเพลงกับ ครูศิวะ วรนาฎ เมื่อปี 2484 บันทึกแผ่นเสียง
เพลงศิลธรรมทั้งห้า ขณะมีอายุเพียง 12 ขวบ โดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อเพ็ญศรี
ตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งปี 2487 เข้าเป็นนักร้องประจำวงดนตรีกรมโฆษณาการ มี
เอื้อ สุนทรสนาน เป็นหัวหน้าวง ในปี 2490 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ สายฝน โดยขับร้องสด
ต่อมาในปี 2491 จึงได้ร้องบันทึกแผ่นเสียง ในปี 2506
รับรางวัลรองชนะเลิศแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลงวิหคเหิรลม และ
เพลงม่านไทรย้อย ต่อมาปี 2508 ชนะเลิศแผ่นเสียงทองคำพระราชทานจากเพลงง้อรัก
ในปี 2534 ได้รับเชิดชูเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง
ขับร้องเพลงไทยสากล สมรสกับ สุวัฒน์ วรดิลก หรือ รพีพร ในปี 2546
ได้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิต ปัจจุบันอายุ 78 ปี.